โพธิรักษ์ โพธิกิจ | โลกาภิวัฒน์
2000 | เศรษฐศาสตร์บุญนิยม | ความรัก
๑๐ มิติ ฉบับชาดก
มติที่1 | มติที่2
| มติที่3 | มติที่4
| มติที่5 | มติที่6
| มติที่7 | มติที่8
| มติที่9 | มติที่10
เทวนิยม / ปรมาตมันนิยม
"เทวนิยม" เป็นความรักอย่างพระเจ้า คือรักในทุกสรรพชีวิต
รักในทุกสิ่งทุกอย่างหมดเลย ไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นมิตรหรือศัตรู
จึงต้องแบกภาระทุกข์ของชาวโลกไว้มากมายที่สุด เพื่อช่วยเหลือทุกสรรพสิ่งให้ได้ดีมีสุขทั้งโลก
รักเช่นนี้มีคุณค่ามหาศาล มีพลังสร้างสรรแรงงาน-แรงกาย-แรงปัญญาอย่างสุดชีวิต
ถึงขั้นแม้ต้องพลีชีพเสียสละชีวิตตนเอง ก็ยินดีกระทำสุดกำลัง เพื่อจรรโลงโลกให้ดีงามรุ่งเรืองในธรรมสืบไป
มหากัณหชาดก
ในอดีตกาล ตั้งแต่ยุคสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ทรงปลดเปลื้อง มหาชน ให้หลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส ด้วยการแสดงธรรมอริยสัจ
๔ แล้ว จากนั้นทรงเสด็จปรินิพพาน
ครั้นกาลล่วงเลยมายาวนาน ศาสนาก็เสื่อมลง
ภิกขุทั้งหลายเลี้ยงฃีพด้วยการแสวงหาอันไม่สมควร หลงผิดในศาสนา ทำการเกี่ยวข้องกับภิกษุณีจนมีบุตรธิดา
เหล่าภิกษุ-ภิกษุณี-อุบาสก-อุบาสิกา และพราหมณ์ทั้งหลาย ต่างละธรรมที่ถูกต้องของตนเสียสิ้น
ผู้คนพากันประพฤติอกุศลธรรม ดังนั้น เมื่อตายไปแล้ว จึงไปอัดแน่นกันใหญ่ในอบาย(นรก,
ดิรัจฉาน, เปรต, อสุรกาย)
ด้วยเหตุนี้เอง ห้าวสักกเทวราช (จอมเทพ)
จึงแทบมิได้พบเห็นเทพบุตรและเทพธิดาหน้าใหม่ๆบนสวรรค์เลย (เทพหมายถึงผู้ที่มีจิตใจสูง)
เมื่อตรวจดูโลกมนุษย์จึงทรงทราบว่า ผู้คนแทบทั้งหมดพากันไปเกิดในอบาย
เพราะศาสนาของพระศาสดาเสื่อมโทรม จึงตกลงพระทัยที่จะใช้กุศโลบาย เพื่อเชิดชูศาสนาให้เจริญถูกต้องถาวรสืบไป
แล้วทรงสั่งให้มาตลีบุตรแปลงเป็นสุนัขดำตัวใหญ่
ขนาดม้าอาชาไนย รูปร่างดุร้าย เขี้ยวโตเท่าผลกล้วย มีรัศมีร้อนเป็นไฟพุ่งออกจากเขี้ยวใหญ่ทั้งสี่
หน้าตาพิลึกน่าสะพรึงกลัว มีเชือกผูกล่ามอยู่ห้าแห่ง คือที่เท้าทั้งสี่และที่คอ
บนหัวประดับด้วยพวงดอกไม้แดงไว้
ส่วนท้าวสักกเทวราชเองแปลงเป็นนายพรานป่า
นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด มุ่นมวยผมไว้ด้านหลัง ประดับด้วยพวงดอกไม้แดง
มือขวาถือปลายเชือกที่ผูกสุนัขไว้ มือซ้ายถือคันธนูใหญ่ มีสายที่สีดังแก้วประพาฬ
(แก้วสีแดงอ่อน)
หลังจากแปลงกายเสร็จ ก็ทรงกวัดแกว่งวชิราวุธ แล้วจูงสุนัขดำเหาะลงที่ชานพระนครพาราณสี
พอถึงก็ส่งเสียงดังกึกก้องขึ้นสามครั้งว่า
"มนุษย์ทั้งหลาย โลกจะพินาศแล้ว"
"มนุษย์ทั้งหลาย โลกจะพินาศแล้ว"
"มนุษย์ทั้งหลาย โลกจะพินาศแล้ว"
หมู่มหาชนพากันสะดุ้งตกใจ ยิ่งเห็นสุนัขดำตัวใหญ่ที่ดุร้ายนั้น
ก็ยิ่งหวาดเสียวหวั่นกลัว พากันแตกตื่นหนีเข้าพระนคร กราบทูลความน่าสะพรึงกลัว
ให้พระเจ้าอุสสินนรราชทรงทราบ พระราชาจึงรีบรับสั่ง
ให้ปิดประตูพระนครโดยด่วน
ฝ่ายนายพรานใหญ่ก็ได้โดดข้ามกำแพงสูง สิบแปดศอก เข้าไปข้างในพระนครพร้อมกับสุนัขดำ
พวกชาวเมืองยิ่งหวั่นไหวหวาดกลัวมาก รีบหลบเข้าเรือนปิดประตูทันที
สุนัขดำใหญ่ก็วิ่งไล่เห่าชาวบ้านไปทั่ว ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านหวาดเสียวไปทั่วเมือง
เหล่าขุนนางอำมาตย์ก็หนีเข้าพระราชนิเวศน์ แล้วปิดพระทวาร แล้วพระเจ้าอุสสินนรราชก็พาบรรดานางสนมขึ้นสู่บนปราสาท
สุนัขดำใหญ่ก็ยกเท้าหน้าขึ้น เกาะบานประตูแล้วเห่าลั่น เสียงดังสนั่นเบื้องล่างถึงอเวจี(นรกเร่าร้อน)
เบื้องบนถึงภวัครพรหม(สวรรค์สุขสบาย) ทั่วสกลจักรวาลสะเทือนถึงกันหมด
คนทั้งพระนครสะดุ้งกลัวหลบภัยหมดสิ้น แม้แค่คนเดียวก็ขลาดที่จะมาเจรจากับพรานใหญ่นั้น
สุดท้ายก็มีแต่พระราชาเท่านั้น ที่เรียกพระสติให้กลับคืนมั่นคงไว้ได้
ทรงเยี่ยมพระแกล(หน้าต่าง)ส่งเสียงเรียกว่า
"ดูก่อนนายพรานป่าผู้เจริญ สุนัขของท่านเห่าเพื่ออะไรกัน"
"เห่าด้วยความหิว"
"ถ้าเช่นนั้น เราจะให้คนนำเอาอาหารให้แก่สุนัขตัวนี้"
แล้วทรงรับสั่งให้นำข้าวที่หุงไว้ สำหรับพระองค์และคนในราชสำนักทั้งหมด
ออกไปให้สุนัขดำใหญ่นั้น สุนัขกินอาหารทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ราวกับกินแค่คำเดียวเท่านั้น
แล้วก็เห่าขึ้นนายพรานป่าจึงบอกไปว่า
"บัดนี้สุนัขของเรายังหิวอยู่"
พระราชาจึงให้นำอาหารที่หุงไว้ สำหรับช้างม้าทั้งหมดมาให้สุนัขดำใหญ่ก็กินราวกับแค่คำเดียว
ก็หมดอีก พระราชาจึงต้องรับสั่งให้นำอาหารที่ชาวเมืองหุงไว้ทั้งหมดมาให้
สุนัขก็กินหมดสิ้นไปชั่วเพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น แล้วก็เห่าดังลั่นขึ้นอีก
พระราชาจึงทรงตกพระทัยสะดุ้งกลัวยิ่งนัก ทรงดำริว่า
นี่เห็นทีจะไม่ใช่สุนัขแน่ คงต้องเป็นยักษ์แปลงมา โดยไม่ต้องสงสัยเลย
เราจะถามสาเหตุถึงสิ่งที่ต้องการจริงๆของสุนัขนี้
"ดูก่อนท่านนายพรานผู้มีความเพียร สุนัขใหญ่ตัวนี้ดำจริงๆ ท่าทางดุร้าย
มีเขี้ยวขาว มีความร้อนพุ่งออกจากเขี้ยว ท่านผูกไว้ด้วยเชือกถึงห้าเส้น
สุนัขของท่านมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่"
พรานใหญ่หัวเราะแล้วตอบว่า
"ดูก่อนพระเจ้าอุสสินนระ สุนัขนี้มิได้มาเพื่อต้องการกินเนื้อสัตว์
แต่มาเพื่อจะกินเนื้อมนุษย์ทั้งหลาย เพราะเมื่อใดมีมนุษย์ทำความพินาศให้แก่มนุษย์ด้วยกัน
เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไปกินมนุษย์ผู้ทำลายนั้น"
พระราชาทรงตกพระทัย ลนลานรีบตรัสว่า
"พรานป่าผู้เจริญ สุนัขดำของท่านจะกินเนื้อมนุษย์ทุกคน หรือจะกินแต่ผู้ที่มิใช่มิตรของท่านเท่านั้น"
"ดูก่อนพระราชา สุนัขดำจะกินแต่เนื้อมนุษย์
ที่ไม่ใช่มิตรของเราเท่านั้น"
"ก็คนเช่นไรเล่า ที่ไม่ใช่มิตรของท่านในที่นี้ ขอท่านจงบอกลักษณะคนเหล่านั้น
ให้เราได้ทราบด้วยเถิด"
ดังนั้นเองนายพรานใหญ่ จึงแจกแจงให้ฟังว่า
"เมื่อใดผู้ที่ปฏิญาณตนว่า เป็นสมณะ มีบาตรในมือ ศีรษะโล้น คลุมผ้าสังฆาฏิ
ลงมือทำไร่ไถนาเลี้ยงชีพ คนเหล่านี้เป็นคนทุศีล มิใช่มิตรของเรา เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้
จะหลุดจากเชือกห้าเส้น ไปกินคนทุศีลเหล่านั้นเสีย
เมื่อใด หากมีหญิงผู้ปฏิญาณตนว่า มีตบะ บวชในพุทธศาสนา มีศีรษะโล้น
คลุมผ้าสังฆาฏิ แล้วเที่ยวบริโภคกามคุณอยู่ เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้
จะหลุดไปกินหญิงชั่วเหล่านั้น
เมื่อใดชฎิลทั้งหลายมีผู้หนวดยาว ฟันเขลอะ มีศีรษะเกลือกกลั้วด้วยธุลี
เที่ยวภิกขาจาร เพื่อรวบรวมทรัพย์ไว้ให้เขากู้ ชื่นชมยินดีด้วยดอกเบี้ยเลี้ยงชีพ
เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไปกินนักพรตโลภเหล่านั้น
เมื่อใดพราหมณ์ทั้งหลายเรียนเวท คือ สาวิตติศาสตร์(บูชาพระอาทิตย์)
ยัญพิธีและยัญญสูตร แล้วรับจ้างบูชายัญ เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไปกินพราหมณ์รับจ้างเหล่านั้น
เมื่อใดพวกพราหมณ์ถือโล่และดาบ ดอยดักอยู่ตามทาง ฆ่าคนชิงเอาทรัพย์
เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไปกินพราหมณ์โจรเหล่านั้น
เมื่อใดผู้มีกำลัง สามารถจะเลี้ยงดูบิดามารดาได้ แต่ไม่เลี้ยงดูบิดามารดาผู้แก่เฒ่าขรา
เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไปกินคนอกตัญญูเหล่านั้น
เมื่อใดหากชนทั้งหลายกล่าวดูหมิ่นบิดามารดา ว่าเป็นคนโง่เง่า
เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไปกินคนเนรคุณเหล่านั้น
เมื่อใดหากคนในโลก คบหาภรรยาของอาจารย์ ภรรยาของเพื่อน ป้าและน้าเป็นภรรยา
เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไปกินคนสำส่อนเหล่านั้น
เมื่อใด นักเลงหญิงทั้งหลายขัดสีผิวกาย บำรุงร่างให้อ้วนพี ไม่รู้จักหาทรัพย์
แต่แสวงหาการร่วมสังวาสกับหญิงหม้ายร่ำรวย ครั้นใช้สอยทรัพย์ของหญิงหม้ายนั้นหมดแล้ว
ก็ทำลายมิตรภาพไปหาหญิงอื่นคนใหม่ต่อไป เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้ จะหลุดไปกินโสเภณีชายเหล่านั้น
เมื่อใดผู้มีมารยา ปกปิดโทษของตน เปิดเผยโทษของผู้อื่น คิดให้ทุกข์แก่ผู้อื่น
มีความคิดอย่างอสัตบุรุษ(มิจฉาทิฐิ) อยู่ในโลก เมื่อนั้นสุนัขดำตัวนี้
จะหลุดพ้นจากเชือกห้าเส้น ไปกินคนมารยาสาไถยเหล่านั้นทั้งหมด
ดูก่อนมหาราช คนเหล่านี้แหละไม่ใช่มิตรของเรา"
แล้วพรานป่าก็ให้สุนัขดำใหญ่ ทำทีท่าว่าจะวิ่งไปกัดกินพวกอธรรมนั้นๆ
แล้วนายพรานใหญ่ก็แสร้งทำเป็นฉุดเชือกรั้งสุนัขไว้
สักครู่
หลังจากที่ขู่มหาชนทั้งพระนคร ให้กลัวภัยแห่งบาปกรรมแล้ว
ก็คืนร่างเป็นท้าวสักกเทวราช เหาะขึ้นไปในอากาศประดุจดังดวงอาทิตย์แรกขึ้น
รุ่งเรืองอยู่ด้วยอานุภาพ แล้วตรัสว่า
"มหาราชเอย เราคือท้าวสักกเทวราช มาปรากฏก็ด้วยเห็นว่า
โลกนี้จะพินาศ เพราะเดี๋ยวนี้มหาชนพากันประมาท ประพฤติแต่อธรรม ตายไปแล้วก็แออัดอยู่ในอบาย
ทำให้เทวโลกดุจว่างเปล่า ดังนั้นตั้งแต่นี้ไป
เราจะกระทำสิ่งที่ควรทำ
สำหรับผู้ไม่ประพฤติธรรม ฉะนั้นท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด"
แล้วท้าวสักกเทวราชทรงแสดงธรรม ด้วยพระคาถรที่มีค่ายิ่ง ให้มนุษย์ทั้งหลายตั้งอยู่ในศีลธรรม
เพื่อทำพระศาสนาที่เสื่อมโทรมให้สามารถดำรงรักษาอยู่ได้อีกพันปี
จบการแสดงธรรมก็พามาตลีบุตร เสด็จกลับไปยังวิมานของพระองค์
พระพุทธเจ้าทรงนำชาดกเรื่องนี้มาแสดง แล้วตรัสว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราประพฤติประโยชน์แก่โลก
แม้ในกาลก่อนอย่างนี้ ซึ่งมาตลีบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ในบัดนี้
ส่วนท้าวสักกเทวราช ได้มาเป็นเราตถาคตนั่นเอง"
ณวมพุทธ ๒๖ ม.ค.๒๕๓๘
(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๗ ข้อ ๑๖๖๑, อรรถกถาแปลเล่ม ๖๐ หน้า ๑๗๐)
มติที่1 | มติที่2
| มติที่3 | มติที่4
| มติที่5 | มติที่6
| มติที่7 | มติที่8
| มติที่9 | มติที่10
|