เม็ดทราย ๒๖

ชีวิตใต้ร่มอโศก

อโศกต้นนี้ มีอายุยืนยาวมา สิบกว่าปีแล้ว
เป็นที่พึ่งพิงพักอาศัย ของนกกานานาชนิด
หมู่นกน้อยใหญ่ ต่างก็สำนึกในคุณค่า ของร่มอโศก
ต้นอโศกเอง แต่ละกิ่งก้าน ก็รู้ภารกิจของตน และเอื้ออารี ต่อหมู่นกด้วยดี
ชีวิตใต้ร่มอโศก จึงสงบและสุขเย็น
เปี่ยมด้วยความเอื้ออาทร
ด้วยรู้ในคุณค่าของชีวิต แห่งกันและกัน

ฉันก็เป็นนกน้อยตัวหนึ่ง ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น
ชีวิตใต้ร่มอโศก ชุ่มชื่นด้วยน้ำใจ-ไมตรี
จนฉันไม่อยาก บินไปอาศัย ร่มไม้อื่นใดอีกเลย

อโศกต้นนี้ ขยายกิ่งก้านอย่างช้าๆ
แต่ทุกกิ่งก้าน ก็เป็นประโยชน์ต่อ หมู่นกใหญ่น้อย กิ่งน้อยก็พึ่งพิงได้น้อย

กิ่งใหญ่ก็มีนกมากมาย มาอาศัยอยู่
วันร้ายคืนร้าย กิ่งอโศกบางกิ่ง
ก็ต้องหักสะบั้นลง ด้วยกระแสแห่งพายุบ้าง ด้วยความผุกร่อน อันเกิดจาก ภายในกิ่งเองบ้าง

ทุกครั้งที่กิ่งอโศกหักลง หมู่นกก็ร้องกันเจี๊ยวจ๊าว
ยิ่งถ้ากิ่งใหญ่หักลง ก็โกลาหลวุ่นวาย กันไปพักหนึ่ง
นกบางตัว ถึงกับต้อง หลั่งน้ำตา
ราวกับต้อง สูญเสียรวงรัง อันอบอุ่น
ไปตลอดกาล

เมื่อฉันมาอยู่ ใต้ร่มอโศกใหม่ๆ
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ฉันเองก็หวั่นไหว ซึมเศร้าไปเหมือนกัน
แต่เมื่อได้สติ และค่อยๆ พิจารณา
ก็พบความจริงว่า ไม่มีต้นไม้ใดในโลก
ที่ไม่เคยสลัดกิ่ง สลัดใบ
เมื่อเข้าใจเช่นนี้ ฉันจึงไม่ยึดเพียง กิ่งใดกิ่งหนึ่ง ไม่ฝากชีวิต บนกิ่งใดกิ่งหนึ่ง
ฉันมักจะโผ จากกิ่งโน้น มาจับกิ่งนี้
ชื่นชมกับร่มเงา ของทุกกิ่งก้าน
เมื่อมีกิ่งอโศกผุพัง หักสะบั้นไปบ้าง

มันจึงไม่ทุกข์ เหมือนแต่ก่อน
ฉันพบความจริงว่า เมื่ออโศกกิ่งหนึ่ง ผุพังไป ก็มีกิ่งใหม่น้อยๆ ขึ้นมาทดแทน
ฉันจึงไม่หวาดหวั่น ว่าอโศกจะไร้กิ่ง ไร้ร่มเงา
ฉันมั่นใจ ในอโศกต้นนี้ ที่หยั่งรากลึก
ลงบนปฐพีแห่ง สัมมาอริยมรรค อันอุดม

นกน้อยเอย จะหวาดหวั่นไปไย กับกิ่งใบ ซึ่งล่วงลับไป ตามกาล ตามกรรม
ขอเพียงว่า ในทุกขณะ แห่งลมหายใจ
เราจงบำเพ็ญ ประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด

ตะวัน สารคาม
๒๔ มีนาคม ๒๕๒๖


 

จั น ท ร์ ลั บ ฟ้ า

จันทร์เอ๋ย เคยสว่าง กลางเวหา
มาลับฟ้า พาเรา เศร้ามหันต์
แม้จันทร์จาก ยังทิ้งธรรม คำจำนรรจ์
เป็นครูฉัน แทนจันทรา ที่ลาไป
ต่อแต่นี้ ขอยึดธรรม ประจำจิต
พุทธองค์ ทรงประสิทธิ์ ประสาทให้
ธรรมนั่นแหละ จะพานำ สู่อำไพ
มิขอยึด ผู้ใด ให้ใจตรม

งูเขียว



อโศกร่วงอีกแล้ว โถไม่น่าเลย
ยิ่งใหญ่สักปานใด ไม่เว้น
ถึงคราวจะเป็นไป ใครเล่า จักห้าม
ใช้เชือกฉุดแสนเส้น ลากรั้งฤาอยู่

อโศกจะไม่เศร้า สมชื่อ อโศก
สิ่งที่ผิดพลาดคือ โจทย์แก้
ไม่คิดจะวางมือ นักรบ แห่งธรรม
ยืนหยัดอย่างเที่ยงแท้ ไม่ท้อจริงจริง

ส.ณ.ศรัณย์ แซ่อึ้ง



บนเส้นทางแห่ง เอกายนมัคโค สายนี้
มารมักจะคอย หลอกล่อเธอ ให้หลงมารดิ่งลง หมดแรง ทะยานใจใฝ่เพียร หมดแรง พลังใจแห่งศรัทธา รู้ตัวเถิด... เธอผู้เป็นสายโลหิต องค์โคตมะ
อย่าได้คิด อย่าได้นึก อย่าได้ปรุง
สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน ไปในทางทุกข์ใจ หมองใจ ทุกครั้งที่เธอ รู้สึกเช่นนั้น
พึงรู้เถิดว่า มารได้ยืนถือดาบ แอบเคาะประตู เรียกเธอแล้ว หน้าที่ของเธอ คือการถือศีล เพียรศีล มองตน อย่าให้เรื่องของผู้อื่น
ความเลวของผู้อื่น (ที่เธอคิดว่า)
มาเป็นน้ำกรด ราดรดหัวใจ อย่าฆ่าตัวเอง... ตื่นเถิด... อย่าให้มารมันลวงใจ

สารอโศก "ปลุกเสก มงคลชีวิต" ฉบับที่ 8 ปีที่ 3(6) มีนาคม 2526



บทเพลงมนุษย์เอ.บี.
ทำไมมนุษย์เอ.บี. โลกนี้มีน้อยนัก
พวกเขาทักถามหา มนุษย์เอ.บี.อยู่เสมอ
มนุษย์เอ.บี.คนใจสู้ อยู่ไหนกันเล่าเออ
พวกเขาชะเง้อ คอยมนุษย์เอ.บี. อยู่ทุกวัน
มนุษย์เอ.บี.ไปไหน... ทำไมมนุษย์เอ.บี.ไม่กลับ
หรือใครจับมนุษย์เอ.บี. ไว้ที่ไหนหนอ
พวกเขาเพียร ถามหน้าเศร้า นั่งเฝ้ารอ
น้ำตาคลอ... ที่นี่ไม่มี มนุษย์เอ.บี.
หรือใครจับมนุษย์เอ.บี.ไว้ ที่ไหนหนอ
มนุษย์เอ.บี.คนใจสู้ อยู่ไหนกันเล่าเออ
พวกเขาชะเง้อ คอยมนุษย์เอ.บี. อยู่ทุกวัน...

เอ.บี.เอส.



ทางแห่งโลกุตระสายนี้
แม้จะเป็นเส้นทางสายเอก
แต่หอกหนามแหลม กลับมากมีอเนกอนันต์ ผู้เดินทาง จึงต้องเป็นผู้สำรวมตน อย่างร้ายกาจ
และมองตนอย่างสาหัส จึงจะฟันฝ่า พ้นอุปสรรคลุล่วง แต่ข้อสำคัญ สิ่งหนึ่งที่จะลืมมิได้ นั่นคือความอดทน
ที่จะต้องอดทน ต่อความเจ็บปวด สารพัด
แม้เลือดจะฉูดกระเซ็น ยามเกี่ยวหนาม ก็มิร้องคร่ำครวญ ขอสงสาร อดทน อดทน อดทน อดให้ได้ ทนให้เก่ง ทนให้เยี่ยม
นั่นแหละคือ การเดินทาง ของชาวโลกุตระ ขนานแท้ ทนเถิด ทนเถิด เหล่ามนุษย์เอ.บี. ทั้งหลายเอ๋ย

ทนเจ็บให้ได้ ทนปวดให้มั่น
นี่คือ สูตรยาอมตะ แห่งการบรรลุแท้ ๆ

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก พุทธาฯ มหามงคล ฉบับที่ 9 ปีที่ 3(6) เมษายน 2526


 

วิ ส า ข ะ
วันประสูติ-ตรัสรู้ -ปรินิพพาน ได้เวียนมาบรรจบ อีกวาระ
จากวิสาขะ ถึง วิสาขะ
จากอดีตอันไกลโพ้น สู่ปัจจุบัน
บรรพบุรุษ รุ่นแล้วรุ่นเล่า
ที่ล้มหายตายจาก ผ่านไปและผ่านไป
สืบทอดสถิตไว้ วิสาขะอย่าลืมเลือน

กาลเวลาหมุนผ่าน กงล้อแห่งธรรมจักร จากสีทองอร่าม เริ่มมัวสลัว เสียงบดขยี้ ไปตามมรรคา สู่เหล่ามาร เริ่มคลายเกลียว กังวานเสนาะ อย่างวังเวง
ชราแล้วหรือ สัทธรรมของ พระพุทธองค์ ?
แต่ทว่า... ท่ามกลางรัตติกาล อันมืดสนิท
หิ่งห้อยน้อย กลับพอเห็นอยู่รำไร
ประกาศตัว กลางม่านมืด ใกล้จะสิ้นหวัง
แม้นหิ่งห้อย มิอาจเทียบสุริยัน
แต่ก็ทำอย่างมิบ่น มิท้อ อย่างเกื้อกูล
จุดเล็กๆ ยิ่งกว่าเม็ดทราย ในท้องสมุทร
รวมตัว รวมพลัง
กระชากเข็นกงล้อ แห่งธรรมจักร ให้เดินหน้า อย่างสงบ เชื่อมั่น
มาเถิด ! ผู้ที่ยังไม่มาขอให้มา ผู้ที่มาแล้ว ขอให้เป็นสุข ขอให้เป็นหลักแกน ผู้อยู่หลัง
วิสาขปุณณมี เพ็ญแจ่ม กระจ่างฟ้า

นโม ประณมมือสำรวม ทยอยมา อยู่ร่วมรวมพลัง ประสานปณิธาน แห่งองค์โคตมะ น้อมรับศีล น้อมฟังธรรม น้อมขัดเกลาตน เช้า-สาย-บ่าย-ค่ำ มิแหนงหน่าย เบื่อระอา

อัศจรรย์จริงหนอ ! บุคคลอยู่เมาหมก ในกองกาม ยามศิษย์ตถาคตเจ้า เปล่งประกาศ การประหาร พวกเขากลับ เงี่ยหูฟัง ฟังอย่างยินดี และนำไปประพฤติ ประหารตาม
อัศจรรย์จริงหนอ ! บุคคลผู้เมาหมก อยู่ในกามสุข ยามศิษย์ตถาคต เปล่งประกาศ ประหารรัก ให้สิ้นซาก
พวกเขากลับ ตื่นตัวยินดี โน้มน้อมนำกลับไป ประหารสุข ตามกำลัง
อัศจรรย์จริงหนอ ! อัศจรรย์จริงหนอ !
น้ำตาโพธิสัตว์ไหลริน ไม่มีเสียงสะอื้น ด้วยมิใช่ความโศกเศร้า ไม่มีเสียงร่ำไห้ ด้วยมิใช่ความอาดูร มนุสโสสิกว่าพันชีวิต สงบนิ่ง ดื่มด่ำธรรมลีลา อย่างเงียบแน่น
เด็ก-หนุ่ม-สาว-แก่-เฒ่า พ่อแม่กับลูก ลูกกับพ่อแม่ แม้สักครั้งในชีวิต ที่อุตส่าห์ให้ความสำคัญ แก่พระศาสนา

มา ! มา! อนุโมทนา สาธุ ผู้ที่ยังไม่มา ขอให้มา อนุโมทนา สาธุ ผู้ที่ยังไม่มีศีล ขอให้มีศีล ด้วยมีหนทาง แห่งสายนี้ เท่านั้น ที่จะเช็ดน้ำตา ของความทุกข์โศก ให้หายสนิท
ด้วยมีหนทาง แห่งสายนี้เท่านั้น ที่จะทำ ให้เธอหลุดพ้น จากวังวน อันบ้าคลั่ง ของโลกีย์
มารใดๆ มิอาจกล้ำกราย แม้สักเส้นขน
ศีลของเธอ จะเป็นสะเก็ด
สมาธิของเธอ จะเป็นเปลือก
ปัญญาของเธอ จะเป็นกระพี้
วิมุติของเธอ จะเป็นแก่น
ไม่มีใครเลย ที่จักอาจทำร้าย ทำอันตรายเธอ ได้ต่อไป
ลานฟังสัทธรรม ยังคงคลาคล่ำ นิ่งสงบตั้งมั่น
ทุกชีวิตต่างสำรวม แม้ในลมหายใจ
อุพเพงคาปีติ ผุดขึ้นมา ราวกับฝัน ยังไม่สิ้น
ดึงหยาดน้ำตา อันใสบริสุทธิ์ ที่เปี่ยมแน่น ด้วยพลังแห่งเมตตา เสียสละ ที่เทิดทูน บูชาความดี แห่งตถาคตเจ้า สุดเกล้าสุดเศียร ที่ยากยิ่ง ใครจักเสมอเหมือน เอ่อไหล ไกลออกไป ณ เบื้องนอก
กระแสมนุสโสสิ ยังทยอย เดินเข้ามา สมทบ ไม่ขาดสาย

วันนี้วันดีหนอ วันสำคัญแห่งชาวพุทธ ที่ทุกคน ควรจะตราตรึง ถึงวันสมเด็จพ่อ ของเราประสูติ พากเพียรสู้ ไม่ถอยต่อ สารพัดอุปสรรค อย่างเหนื่อยยาก จนตรัสรู้ และดับขันธ ปรินิพพาน หมดภารกิจ ณ วันนี้
นี่แหละคือ การเกิดครั้งยิ่งใหญ่ ที่พวกเธอ พึงระลึก สังวร เตือนตน เร่งกระทำกิจ สมเป็นลูก โดยมิชักช้า
สัทธรรมปฏิรูป สัทธรรมถูกบิดเบือน ดุจแก่นแกน เนื้อกลองอานกะ ถูกไม้อื่นแทรก จนแทบจะหา เนื้อเดิมไม่ได้
ช่วยกัน ! พวกเราจะต้องช่วยกัน เราไม่ทำ แล้วใครจะทำเล่า ?
มิต้องเอ่ยด้วยวจี เพียงสัมผัสจิตต่อจิต ต่างก็รู้หน้าที่กิจตน ต่อศาสนา

ประโยชน์ตน -ประโยชน์ท่าน จะต้องครบพร้อม เดินทางไปด้วยกัน
มิใช่หลีกหนีลี้หาย มิใช่การตัดช่องน้อย แต่พอตัว เสียงสูดน้ำมูก ดังขึ้น อีกหลายเสียง -น้ำตาไหลเอ่อ ราวกับการขานรับ มรดกพินัยกรรม พระพุทธองค์

ยากหนอ! ยากหนอ! โลกใบนี้ยากแล้ว เหล่ามารแบ่งกระจาย ครองเมือง
ความดี ถูกสยบขู่หงอ ความชั่ว ถูกปลูกเพาะ ทำนุบำรุง แตกช่อ ออกกิ่งสลอน คนดีกลับจะต้อง อายคนชั่ว

อโห! โอหนอ! เหล่ากระเบื้อง ถีบคนดีจมลึก เพื่อตัวเอง เฟื่องฟูลอย
น้ำเต้าน้อย กำลังถอยจมลงไป ทุกทีทุกที
ยาอยู่ที่ไหน ใครๆ ก็ต้องการยารักษา แต่ยานั้น ใช่จะหาได้ง่ายๆ
กำแพงแห่งอวิชชา สูงท่วมฟ้า หนายิ่งกว่าแผ่นดิน มนุษย์ใดเล่า จะหาญหักด่าน ให้แตกสลาย
โลกกำลังถูกมอมเมา โลกกำลังถูกยั่วยวน
ยากหนอ ! ยากหนอ !
แต่นั่นแหละ จุดเล็กๆ ใต้ขอบฟ้ากว้าง อุตส่าห์โจนทะยาน ต่อสู้อย่างน่าหวำ
เขามากันแล้ว พากันมา จุดดวงประทีป ให้ลุกโชติช่วง ในดวงใจ
เสียงฟ้าร้อง ดังกระหึ่มกัมปนาท ประดุจการรับรู้ ปณิธานทวนกระแส ของจุดเล็กๆ ที่มีลมหายใจอุ่น
สายฝน โหมกระหน่ำ ซัดซู่ สาดละอองไอเย็น หนาวยะเยือก

หยดน้ำ หล่นจากฟ้าสู่พื้น บ้างไหลผ่าน ขอบใบเขียวขจี จากแมกไม้ทีละหยด
ผนึกรวมกัน เป็นกระแสใหญ่ ไหลลงสู่สระน้อย
แม้กองทัพธรรม จะจิ๊บจ้อยเล็กน้อย แต่หากรวมร่วมพลัง อะไรฤาจะขวางหน้า
จันทร์กระจ่างฟ้า สาดแสงผ่าน หมู่แมกไม้รกชัฏ อย่างมิย่อหวาด
เสียงกบ คางคก อึ่งอ่าง ประสานเหล่าแมลง ดังกระหึ่ม
บทเพลงรวมชาติ ยังคงมีต่อไป ไม่รู้หมดสิ้น
แต่บทเพลง ทวนกระแส ก็เฉกเช่นกัน
วันประสูติ -ตรัสรู้ -ปรินิพพาน
มิใช่ของ องค์ตถาคตเจ้า กักตุน
แต่พร้อม ที่จะแบ่งปัน ให้แก่พุทธบุตร ทั้งหลาย

มาเถิด ! เรามาสานปณิธาน ตถาคตเจ้า
ที่จะทำ วันวิสาขะ ให้เกิดขึ้น ในหัวใจของเรา ให้สมเป็น ลูกสมเด็จพ่อ
มิใช่สักแต่กราบ คารวะ สุดเกล้า สุดเศียร เพียงอย่างเดียว
ขอวิสาขะสถิตมั่น เป็นแก่นเนื้อ ในดวงใจ ของมนุษย์ ทวนกระแส ทุกๆ คน
ด้วยศรัทธา ด้วยขันติธรรม... สู้ไม่ถอย !

อุพเพงคา


 

มหาบุรุษ ๕ ตา
ใครหนอในโลกนี้
คือผู้มีดวงตา อันงดงาม แจ่มใส แววไว
เบิกบานเมตตา อยู่เป็นนิจ

ใครหนอในโลกนี้
คือผู้มีสายตา อันล้ำลึก ยาวไกล
มองเห็นความเป็นไป ของเหล่าสรรพสัตว์
ซึ่งดำเนินไป ด้วยอำนาจแห่งกรรม

ใครหนอในโลกนี้ คือผู้มีปัญญา อันยิ่งใหญ่ แยบคาย จนสามารถ ค้นพบ ทฤษฎีอริยสัจ ซึ่งนำไปสู่ ความดับทุกข์ โดยสิ้นเชิงได้

ใครหนอในโลกนี้
คือผู้สามารถหยั่งรู้ อัธยาศัย และอุปนิสัย
แห่งเวไนยสัตว์ และสามารถสั่งสอน
ให้บรรลุคุณวิเศษ ต่างๆ ได้

ใครหนอในโลกนี้
คือผู้มีตาเห็นรอบ ประกอบด้วย พระสัพพัญญุตญาณ อันหยั่งรู้ธรรม ทุกประการ

โอ มหาบุรุษ ผู้ประกอบด้วย จักขุทั้งห้า
คือมังสจักขุ ทิพยจักขุ ปัญญาจักขุ พุทธจักขุ และ สมันตจักขุ
ข้าน้อย ผู้ยังมีดวงตา อันมืดมัว และฝ้าฟาง ด้วยละอองธุลี ของกิเลส

ขอยึดพระองค์ เป็นสรณะ เป็นผู้ชี้ทาง
ขอเดินตามรอย พระยุคลบาท
ตามแนวทางแห่ง สัมมาอริยมรรค
อันประเสริฐ ของพระองค์ ตลอดไป

วิสาขบูชา ๒๕๒๖/ ตะวัน



บนเส้นทางสายนี้
พระบรมศาสดา ได้ทรงแสดงตัวอย่าง ตอกหลักฝังไว้ เพื่อเป็นกำลังใจ แก่อนุชนรุ่นหลัง ด้วยก่อนตรัสรู้นั้น
ความทุกข์ยาก นานัปการ
ที่ว่าสุดยาก สุดโหด สุดจะทำได้

แต่พระองค์ กลับฟันฝ่า บุกบั่นทดสอบ อย่างไม่พรั่น จนสังขาร ทรุดโทรม เหนื่อยยาก เส้นเอ็น เส้นเลือด แห้งขอด ปูดโปน กระปุ่ม กระป่ำ ลมหายใจ ริบหรี่ ใกล้มอด

แต่ท่านก็ฟันฝ่า จนสำเร็จ
จนเห็นมรรคาที่แท้ หกปีทีเดียว ที่แทบชีวาวาย... หัวใจเกือบจบสิ้น
โพธิญาณนี้ มิใช่ได้ ง่ายง่ายเลย
แต่ใครเล่า จะหาญปฏิเสธ หกปีที่ผ่านมา ว่าไร้ผล
แท้ที่จริงนั้น แม้ใครจะกล่าวอ้างว่า หกปีนั้น หลงทาง

แต่หกปีนั้นแหละ ที่ได้เพาะธาตุตรัสรู้ ขึ้นเติบกล้า พึงตั้งตนอยู่ ในความลำบากเถิด แล้วกุศลธรรม จึงจะเจริญ
พระองค์บรรลุชัยด้วย "สู้ไม่ถอย" แท้จริงเจียวหนอ

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก วิสาขบูชา : สู้ไม่ถอย ! ฉบับที่ 10 ปีที่ 3(6) พฤษภาคม 2526



อโศกรำลึกชีพยืนร้อย
๕ มิถุนา ๒๕๒๖
อโศกรำลึก สุดเกล้าสุดเศียร ครั้งที่ ๒
ย่างปีที่ ๑๓ แห่งอายุ ศิษย์สมณะศากยบุตร
ผู้ประกาศตัดหัวถวาย ต่อองค์พระผู้มี พระภาคเจ้า ฟันฝ่าเหล่ามาร ผู้ขวางกั้น ประดุจเขาสุเมรุ อย่างมิย่อท้อ... มิหวั่นไหว สงบ...เยือกเย็น... แฝงรอยยิ้ม !
อโศกรำลึก สุดเกล้าสุดบูชา สุดเทิดทูน ประทับไว้ฝังแน่น ณ กลางแก่นวิญญาณ
แม้พายุ แม้สลาตัน มิอาจคลอนแคลน
สายน้ำ...หยดน้ำ อาจเซาะเหล่าภูผา
แต่มิอาจย่ำยี หยามหยัน ศรัทธาที่เอ่อล้น ในดวงใจดวงนี้

๔๙ ปีนับย้อนอายุขัย แต่บุพกาลแห่ง ต้นอโศก จากเสียงทารก แผดจ้าเติบใหญ่ รับผิดชอบน้องน้อง มุทำงาน ขยัน เรียนรู้ ศึกษา ท่ามกลางมายา
สุดท้าย อวิชชาแห่งโลกียะ มิอาจสกัดกั้น
มิอาจมอมเมา เคลิบเคลิ้ม
กระแสธารแห่งปัญญา พุ่งทะยาน สุดจะต้าน สุดจะขวาง โซ่ตรวนพันธนาการ ถูกกระชาก ขาดกระจาย
สะอาด-สว่าง-สงบ -สุภาพ พลันปรากฏ
อา! สิ้นแล้ว ซึ่งความหลัง
สว่างแล้ว ซึ่งความหลง...
การเกิดอุบัติซ้ำ ครั้งที่สอง

ณ ใต้ร่ม บวรพุทธศาสนา ได้เกิดขึ้น
ชีวิตต่อแต่นี้ ประดุจวัวงาน
สืบทอดเจตนารมณ์ องค์โคตมะ ตลอดกัป ตลอดกัลป์
อโศกรำลึก สุดจะปลื้ม สุดจะอนุโมทนา
อโศกเติบโต ดั่งราวกับวิ่ง ดั่งราวกับลอยลม
แผ่กิ่งก้าน ใหญ่โต ใหญ่โต ร่มครึ้ม
แตกยอดใบ ดารดาษ เขียวขจี อบอุ่น อุ่นใจ
เสียงร้องไห้ หวาดผวา ถูกปลอบโยน
เสียงคร่ำครวญท้อแท้ ถูกปลุกปลอบ

สงบเย็น... โลกเริ่มสงบเย็นหนอ กาลเวลา หมุนผ่าน ดอกอโศกบานไสว กลับกลาย เป็นเมล็ด ร่วงหล่นกระจาย เกลื่อนปฐพี
เติบโต เติบโต อย่างเชื่อมั่น อย่างภาคภูมิ
ในบางครั้ง ลมพายุโหมกระหน่ำ หยาดฝน เทหล่น ประดุจหนามแหลม กลับหอบพา เมล็ดอโศกลอยไป ลอยไป ตกเกลื่อน
ตกเกลื่อนแดนเมือง

อโศกรำลึก รำลึกอโศก ผู้มีพระคุณ
ต้นอโศกต้นน้อย ทยอยแตกใบ ผลิยอด แทงรากตรงนั้น ตรงนี้
ปรากฏการณ์ เหล่ามนุษย์เอ.บี. หรือมนุษย์ ทวนกระแส เริ่มเกริกไกร แซ่ซ้องขานรับ คนดีจะต้องมีศีล ศีลจะต้องเป็นใหญ่ ในแผ่นดิน

ร่มอโศกเติบโตกระจายทั่ว เงาแห่งความร่มเย็น โอบหัวใจผู้ร่านร้อน
เสียงสวดอวดคุณ แห่งไตรลักษณ์
ดังออกมา ทีละบ้าน ทีละบ้าน
ดวงตะวันอ่อนแสง ตะวันธรรมปรากฏ แทนส่องหล้า

๕ มิถุนา ๒๕๒๖ วันรำลึกพระคุณพ่อ
ผู้เมตตาต่อทุกชีวิต เสมอหน้า ผู้กล้าพลีตน เพื่อสัจธรรม เลือดเนื้อ ทุกหยาดหยด ประคองใส่พานถวายสิ้น แด่องค์โคตมะ เป็นตัวอย่างวิญญูชน รุ่นหลังเอาเยี่ยง

อโศกน้อยนับร่วมๆ พันชีวิต กลับคืน ถิ่นที่พัก แห่งวิญญาณ
อัศจรรย์! อัศจรรย์จริงหนอ!
ไม่ต้องมีน้ำมนต์ ราดรด
ไม่ต้องมีของขลัง ปลุกเสกลงยันต์
นอกจากน้ำคำ เสียดแทงหัวใจ
กระหน่ำสิ่งหลงใหล ประดามี นี่แหละ มธุรสวาจาขนานแท้

ยามเอ่ยเอื้อน เปล่งกล่าวธรรมบท
มีแต่การขอ ขอให้พลัดพราก สิ่งที่รัก
พลัดพรากจากสิ่งที่เป็น ความสุข เสน่หา
ดั่งขอให้ประหารบุตร สุดจะรักแห่งตน

ทุกคนน้อมรับ น้อมนำปฏิบัติ เพียรปลีกเวลา ขวนขวาย
ฟังสัจธรรมบทนี้ มิเบื่อหน่ายชิงชัง
อัศจรรย์ ! อัศจรรย์ จริงหนอ !
นี่แหละ อนุศาสนีปาฏิหาริย์
อันมีแต่ศิษย์ศากยะ จึ่งสามารถ

ย่างปีที่ ๑๓ แห่งชีวิตพรหมจรรย์ ใต้ผ้ากาสาวะ พุทธบริษัท เริ่มผนึกมวลรวมก่อ ประกาศ ความเป็นเอกา แห่งกองทัพธรรม
ผู้กินน้อย ใช้น้อย พอใจต่อความน้อย ให้ยิ่งยิ่ง บทพิสูจน์สัจธรรมนั้น ได้ไม่ยากหาก "เอาจริง!" เพราะแม้จะเป็น ดอกฟ้า แต่ผู้ต่ำต้อย อย่างเรานี่แหละ จะพิสูจน์ จะเป็นผู้เด็ดดอม อย่างเจียมตน
เราทำได้แล้ว ทำอยู่ และกำลังพาทำ
มองซิ ! ดูสังคมของเรา คนดีที่มุดอยู่ แต่ในหลืบซอก ค่อยค่อยกล้า ออกประจัญ ออกฟันฝ่า
ทำดีจงอย่าอาย อย่าอายเมื่อจะทำดี

รำลึกอโศกพระคุณสุดฟ้า
ผู้เปลี่ยนจิตวิญญาณดวงใหม่
ให้เบิกบานแจ่มใสไร้ทุกข์

ลมพายุแห่งชีวิต สร่างซาบ้างแล้ว
บัดนี้ลมโชยเย็นฉ่ำ เริ่มปรากฏ
หากอโศกต้นนี้ อายุยืนร่วมร้อย
เราจักยินดีขนาดไหน อโศกใหญ่ยืนยิ้ม มองมาอย่างเอ็นดู ย่อมได้และยินดี
แต่ทว่าไม่มั่นใจ! ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหล่า พวกเธอทั้งหลาย ที่จะพึงเป็นผู้ ไม่ดื้อด้าน
พึงเป็นผู้ว่าง่าย สอนง่าย มิใช่ดันทุรัง ถือทิฐิ
ชีวิตอโศกต้นนี้ จึงจักยืนยง ด้วยมิต้องเหน็ดเหนื่อย มากความ
ชะตาชีวิตนี้ มิใช่อยู่ที่ฟ้าดิน แต่ขึ้นอยู่กับ พวกเธอ
พึงอ่อนน้อมถ่อมตน ว่าง่ายสอนง่าย
ไม่กระทำตน เป็นภาระแก่เรา...

กราบคารวะแทบเท้า สุดเคารพ สุดศรัทธา สุดจะเอ่ย นี้กระมังคือ คำขอร้องกลายๆ ของพ่อท่าน ที่กล่าวฝากไว้แก่ลูกๆ
เพื่อสงวนเวลา และสุขภาพ กายขันธ์
ให้เป็นประโยชน์ ต่อโลกต่อมวลชน ให้ไพศาล
เคารพหนอ ฤาจะสู้ปฏิบัติ ตามคำสั่ง

ข้าน้อยขอปฏิญาณ เสริมสร้าง ความปรารถนา ของพ่อท่าน ให้เป็นจริง
กราบคารวะสุดเกล้า พ่อท่าน
ด้วยจิตวิญญาณ ด้วยเลือดเนื้อ ทั้งหมดทั้งมวล

วิญญาโณ
๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๖


 

บูชาพระครูผู้เหนือครู

อนึ่งข้าประณมน้อม ต่อพ่อท่านผู้การุญ
โอบเอื้อและเจือจุน พุทธศาสตร์ทุกสิ่งสรรพ์
ยังบ่ทราบก็ได้ทราบ ทั้งบุญบาปทุกสิ่งอัน
ชี้แจงและแบ่งปัน ขยายอรรถให้ชัดเจน
จิตมากด้วยเมตตา ท่านกรุณาบ่เอียงเอน
สอนสั่งในหลักเกณฑ์ ให้ฉลาดและแหลมคม
ขจัดเขลาบรรเทาโม- หะจิตมืดที่งุนงม
กังขา ณ อารมณ์ ก็สว่างกระจ่างใจ
คุณส่วนนี้ควรนับ ถือว่าเลิศ ณ แดนไตร
ควรนึกและตรึกนัย ศรัทธาน้อมบูชาคุณ

โชติธรรม

สารอโศก ฉบับเลือดแห่งกองทัพธรรม ปีที่ 3(6) ฉบับที่11 มิถุนายน 2526


ลั่ น ก ล อ ง ร บ
ก่อนแสงตะวันธรรมจะสาดส่อง
ก่อนอุดมการณ์จะอุบัติขึ้น
ชีวิตของเขา ของแต่ละคน
ต่างสงบสันติไปตามแกน
สุขๆ ทุกข์ๆ ร้องไห้หัวเราะ... ก็แค่นั้น
โดยหารู้ไม่ว่า รอบตัวมีแต่ความมืดสนิท
มีโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้า
มีผู้เป็นนาย ร่างกายใหญ่โต ถือกุญแจ... ถือแส้หนาม ! และแล้ว เพียงเล็กน้อยแห่งตะวันธรรม สาดส่อง อุดมการณ์ชีวิต เริ่มถูกปลุก
ทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มเปลี่ยนแปลง
ความสงบสันติสิ้นสุด สูญสลาย
สงคราม.. สงครามเริ่มอุบัติ
ทาสผู้ไม่ยอมรับ การปลดปล่อย... เริ่มสำนึก มันมองผู้เป็นนาย อย่างกราดเกรี้ยว เป็นไปได้อย่างไร ให้มันกดขี่ทารุณ แสนนาน สิ้นสุดได้แล้ว ชีวิตพรรค์นี้ จากทาสผู้อ่อนน้อม โงหัวมาตลอด
บัดนี้ดวงตาเริ่มแวววับ แข็งกร้าว
กลองรบ ณ บัดนี้ได้ลั่นขึ้นแล้ว !!

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก ฉบับลั่นกลองรบ ปีที่ 3 ฉบับที่ 12 กรกฎาคม 2526

หน้า ๒๖

 

เม็ดทราย หน้า | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |