เม็ดทราย ๒๙


บทเพลงแด่...อารี อาจสาคร

เมื่อถึงเวลา...ทุกอย่างย่อมอุบัติ
เมื่อถึงเวลา...ทุกอย่างย่อมทรงอยู่
เมื่อถึงเวลา...ทุกอย่างย่อมเสื่อมสลาย
กฎแห่งสัจธรรมมิเคยลำเอียง
ความพลัดพรากจากกันและกัน ทรงสถิตค้ำฟ้า
แสงดาวผ่านวาบหาดขอบฟ้า ชั่วตากะพริบ
คบหา คุ้นเคย สนิทสนม พรากจาก ประดุจความฝัน
รวดเร็วเหลือเกินชีวิตแต่ละชีวิต บนพื้นพิภพ
เสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้กลับกลาย ว่างเปล่า
ดอกไม้บานพลันเหี่ยวเฉา
ท้องฟ้าใสกลับพลันมืดทะมึน
สัจธรรมยืนหยัด ไม่มีสิ่งใดจักทรงอยู่ เที่ยงแท้
ปรวนแปร เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลง ปรวนแปร
มิเที่ยง มิแน่นอนประดุจฝัน
ยังจำได้น้ำเสียง ยังจำได้กิริยา
ยังจำได้ท่าทางบุคลิก ฯลฯ
ใบไม้ในป่าใหญ่ร่วงหล่น
พลิกพลิ้ว วับวับ สู่เบื้องล่าง เมื่อถึงอายุขัย
อีกไม่นานใบอื่นอื่นจะตามไป
ทุกชีวิตก็เฉกเช่นนี้ อย่าแปลกใจ
หล่นลงไป หล่นลงไป เพื่อยืนย้ำสัจจะ แห่งความดับสูญ
พริ้วพริ้ว วับวับ อโศกบางใบร่วงหล่น ตามกาลเวลา-สังขาร
หมดเวลาแห่งการเข็นกงล้อชั่วขณะ
หมดเวลาแห่งการทำประโยชน์ตน - ประโยชน์ท่านชั่วคราว
พริ้วพริ้ว พลิกพลิก ใบอโศกลาจาก
ท่ามกลางความอาลัยโลกียชน
โลกคงเสียดาย เสียดาย น้ำตาซึม

จุดเล็กเล็กทวนกระแส ใต้ขอบฟ้ากว้างลาลับ
ละอองแห่งความเย็นจุดหนึ่ง สูญสลาย
ไม่มีรอยยิ้ม รอยยิ้มอันเมตตา อบอุ่น
ไม่มีท่าทาง ท่าทางอันอ่อนโยน สำรวม สุขุม
ไม่มีดวงใจที่คุโชนด้วยปรารถนาดี อีกต่อไป
มือเล็กเล็ก กอบกู้ศาสนาตามฐานะ
หนุนเสริมทัพใหญ่อย่างมิพรั่น
ณ บัดนี้วางราบ สงบนิ่ง แข็งเย็น
หมดเวลา พอกันที พอกันก่อน
จากกัน แต่มิใช่นิรันดร
ฝากกงล้อแห่งธรรมจักร
ช่วยเข็น ช่วยฝ่า อย่าท้อ
ปราบกระหน่ำเหล่ามารให้สิ้นซาก
ฝากทุกทุกคนที่รักธรรม
ช่วยสานกิจมิสำเร็จให้ต่อเนื่อง
ฝากหัวใจไว้ในจิตทุกทุกผู้... สู้ต่อไป

วิญญาโณ
๑ กันยายน ๒๕๒๗



วันคืน ผันเวียน เปลี่ยนอีกแล้ว
คงไม่แคล้ว แก่ตามวัน ที่ผันผวน
วันเวลา ผ่านไป คิดใคร่ครวญ
ให้ถี่ถ้วน ทวนกัน ทุกวันไป
สิ่งที่ดี มีราคา ค่าชีวิต
ได้เคยคิด เคยสร้าง กันบ้างไหม
หรือเห็นว่า หนทาง ยังห่างไกล
จะอาลัย เหลือหลาย เมื่อสายเกิน
ส. ๔๑๖



โ ล ก นี้ - โ ล ก ห น้ า

ท่ามกลางสังสารวัฏแห่งการเวียนว่าย
ย่อมประสบพบเห็นเผชิญอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชีวิต...เมื่อมัวเมากลางทะเลแห่งกามตัณหา
ย่อมมืดมิดร่วงหล่นสู่หุบเหวประลัยกัลป์
จนกว่า จะสำนึกแจ้งประจักษ์
ว่าการเกิดมานั้น มิใช่เพื่อเสพสุข เฮฮา สนุกสนาน
แต่คือการเสียสละ หัดให้ หัดทำความดี
หัดสั่งสมบารมี เพื่อตน เพื่อผู้อื่น มากขึ้น มากขึ้น...มิหยุดยั้ง
โอ !...อะไรหนอ จะสุขประเสริฐไปกว่า การเสียสละ
โอ !...อะไรเล่า จะน่าชื่นชมไปกว่า การหัดให้ ?
หัดเถิด หัดเกื้อกูล หัดทูนให้ผู้อื่น
ชีวิตที่หลงกอบโกย สะสมหนักหนา ได้สิ่งใดกัน ?
แม้มิหวัง แม้มิตั้งจิต
แต่คุณงามความดีเหล่านี้ จะถูกแซ่ซ้อง สรรเสริญ
แม้ใครใครจะไม่รู้
แต่โลกนั่นแหละที่รู้ดีว่า ใครควรจะ...ประดับไว้ ในโลกา

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก "ประดับไว้ในโลกา" ปีที่ ๕(๘) ฉบับที่ ๑ กันยายน ๒๕๒๗


 

เ ริ่ ม ต้ น ไ ม่ ส า ย
ไม่มีคำว่า "สาย" สำหรับการเริ่มต้น
ไยจึงปล่อยให้ชีวิตจมปลักอยู่กับ ความเศร้าหมอง..ทุกข์ระทม
ทุกขณะที่กำลังเกิดอยู่และผ่านไป คือ "ขณะใหม่"
เช้าวันใหม่... ตะวันดวงใหม่... น้ำค้างหยดใหม่
ยอดอ่อนของต้นไม้ก็ผลิบาน.. งอกเงยขึ้น
ไฉนเราจึงไม่หันมาใส่ใจกับ ยอดอ่อน
ที่จะผลิบานในหัวใจของเราบ้างเล่า
ซึมซับ...ดื่มด่ำ กับความละเอียดอ่อน ที่เกิดขึ้นภายใน
และทะนุบำรุง รักษาไว้ให้มั่นคง... ให้เติบโต

ล้มแล้วลุก พักแล้วเพียรต่อ
หลงทางแล้วก็กลับมาพบกัน ได้ใหม่
มาร่วมเดิน ร่วมฟันฝ่า ร่วมอุดมการณ์ ในสายธารทวนกระแส
ที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นจาก ห้วงสังสารวัฏ
หลุดพ้นจากเงื่อนปมของชีวิต
ที่เราต่างผูกขึ้นเพื่อพันธนาการตนเอง
ด้วยตั้งใจ..ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์... ด้วยหลงผิด
ด้วยอิทธิพลของกิเลสมาร ต่างๆนานา

เมื่อชะล้างคราบโสมมออกจากดวงไฟ แห่งปัญญา
เมื่อนั้นแสงสว่างอันเจิดจ้า ก็เข้ามาแทนที่ความสลัว
เกิดความรู้..เห็น สรรพสิ่งรอบตัว ตามความเป็นจริง
ด้วยโลกทัศน์ ชีวทัศน์ ที่กว้างไกลขึ้น... แจ่มใสขึ้น
บทเรียนถูกส่งมาเพื่อเรียนรู้.. ทำความเข้าใจ
มิใช่เพื่อเอาชนะแต่ส่วนเดียว

ผิดไม่ได้.. พลาดไม่ได้
แล้วเราก็ตายกับมานะ.. กับอัตตาที่ยิ่งใหญ่นักหนานั้น
จริงอยู่ "มนุษย์ไม่ได้เกิดมา เพื่อจะพ่ายแพ้"

แต่ความพ่ายแพ้ก็คือ ประสบการณ์อย่างหนึ่งของชีวิต
และมันอาจมีคุณค่ามากกว่า ชัยชนะเสียด้วยซ้ำ
หากมันจะทำให้เราเข้าใจตัวเอง -เข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น
รู้จักให้อภัยทั้งเราและเขาได้มากขึ้น
เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ได้มากขึ้น
มิใช่เอาแต่หยิ่งผยองกับความดี.. ยึดดี..ถือดี
เสียจนทนไม่ได้ที่จะเห็น ความบกพร่องของผู้อื่น
โดยวัดกันด้วยไม้บรรทัด ที่ตนกำหนดขึ้น

"ขวัญเอยเพียรใหม่... พลาดไปประหนึ่งเป็นครู"
เมื่อหายเหนื่อย หายล้าแล้วก็จงยืนหยัด และก้าวเดิน
หากแน่ใจว่าทางนี้คือ ทางเอก ทางเดียว
กระไรจะยอมตกเป็นเหยื่อของพญามาร ผู้มาหลอกล่อให้เดินหลง
และแม้หากจะเคยเดินหลงมาบ้าง
แต่...ต่อนี้ไป เราจะกำหนดทิศทางใหม่ที่จะ "เดินตรง" ให้ได้

มาเถอะ...บทเรียน
จะหนักหนา จะรุนแรงอย่างไร
เราก็จะเพียรพยายามกระทำ ให้ลุล่วง
แก้เงื่อน...คลายปม ที่พันธนาการหัวใจ ให้เป็นอิสระ
เพราะนี่คือ ขณะเดียวที่เราได้-เรามี
ขณะที่มีรูปขันธ์ มีสติปัญญา สัมปชัญญะ
มีครู มีเพื่อน มีญาติสนิท มิตรสหาย
ที่จะนำไปสู่ดวงดาราที่ใฝ่ฝัน
อันคือจุดหมายปลายทาง ที่ลิขิตไว้แล้ว
ด้วยตัวของเราเอง
บุญรวี
๔ สิงหาคม ๒๕๒๗


 

เ พ ล ง อ ริ ย ะ หมายเลข ๑๐

ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดี วิเศษยิ่งๆ ขึ้น
หรือเป็นคนที่น่าเคารพนับถือได้นั้น
ไม่ใช่เพราะการเป็นผู้ยืนยัน "ความถูกต้อง"
ให้ใครรู้หลากหลาย แล้วๆ เล่าๆ นั้นดอก
แต่ เพราะข้าพเจ้าน้อมรับ "ความผิดพลาด"
และมีการแก้ไขในแต่ละครั้ง แต่ละคราวของข้าพเจ้า
จากทั้งผู้หวังดี และศัตรูผู้หวังร้ายแท้ๆ นั่นต่างหาก

พระโพธิรักษ์
๒๕๒๖


 

ย า ม พ่ า ย แ พ้ ผิ ด ห วั ง
ผู้ที่เติบโตเต็มที่แล้ว
ย่อมไม่หลั่งน้ำตาเพื่อตนเอง
ยามที่ชีวิตพบกับความทุกข์ทรมาน
และพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ต่ออุปสรรคของชีวิต
ความกล้าหาญที่แท้จริง
มิใช่กล้าพลีชีวิต
แต่ต้องกล้าที่จะอยู่เพื่อสู้ต่อไป
ไม่มีใครไม่เคยผิดหวัง
คนโง่เท่านั้นที่จะซ้ำเติมตนเอง ในยามผิดหวัง
สุนัขยังไม่ซ้ำเติมตัวเอง
ที่ต้องเกิดมาเป็นสุนัขขี้เรื้อน ข้างถนน
เมื่อพลาดพลั้งหกล้ม
ควรหรือที่จะร้องไห้
จงรีบลุกขึ้น
เพื่อที่จะเดินต่อไป อย่างไม่ประมาท

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก "จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด ปีที่ ๕(๘) ฉบับที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๗


 

ชี วิ ต นี้ ยั ง มี ห วั ง
ในท่ามกลางยุคแห่งความร้อน
ร้อนเพราะการแก่งแย่ง
ในท่ามกลางยุคแห่งความแล้ง
แล้งเพราะไร้น้ำใจ
ในท่ามกลางยุคแห่งความหลง
หลงตกเป็นทาสแห่งอบาย
ชีวิตของผู้คนเหมือนกำลัง จะจมน้ำตาย
ชีวิตต่างก็อยู่กันไปอย่างสิ้นหวัง
สังคมเดือดร้อน และเศรษฐกิจก็บีบรัด
คนรอบข้างต่างก็ตัวใครตัวมัน
แล้วจะไปพึ่งหวังอะไรกันได้ ในบ้านนี้เมืองนี้
ยัง..ยัง..ยังก่อน ยังมีที่หวังได้อยู่
ยังมีผู้คนส่วนหนึ่งอยู่กันอย่าง เป็นสุข
เขามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และช่วยเหลือ
เกื้อกูลกันดั่งญาติสนิท (ญาติธรรม)
เพราะความสัมพันธ์ทางจิตสนิท แน่นแฟ้น
ยิ่งกว่าพี่น้องทางสายโลหิต
ชีวิตของเขาอยู่กัน เพื่อสร้างความดี
และเสียสละ
หากเธอได้เห็นแสงสว่าง
จากเขาเหล่านั้นขึ้นมาบ้างแล้ว
จงชูมือแห่งความหวัง และยกศีรษะของเธอ
ขึ้นมาจากกองกิเลสทั้งหลายเถิด
เธอจะไม่จมตายกับทะเล แห่งตัณหา
ถ้าเธอยังต้องการแสงสว่าง ของสัจธรรม

บ.ก.


 

THE STUDY OF LIFE-WORK IS
TO DEBATE
TO ASSIMILATE
TO OPERATE, AND
TO PROPAGATE.

การศึกษางานชีวิต คือ

การถกปัญหากัน
การทำความกลมกลืนเข้าหากัน
การลงมือกระทำ และ
การสืบต่อแพร่กระจายออกไป

วิชัย เอกทักษิณ
๒๕ มิถุนายน ๒๕๒๖


 

มีแต่คนซึ่งไม่เข้าใจตนเองเท่านั้น
ที่พยายามทำให้ผู้อื่นเข้าใจตน

พรหมจรรยมรรค


 

ย อ ด นั ก ร บ

จากขุนเขาและที่ราบสูง
จากลุ่มน้ำและฝั่งทะเล
จากเหนือจรดใต้
จากตะวันออกจรดตะวันตก

เธอผู้ละทิ้งทรัพย์ศฤงคาร
มากินอยู่อย่างขัดเกลา
เธอพร้อมที่จะรักคนทั้งโลก
และโอบกอดด้วยสองแขนอันอ่อนโยน

เธอจะชุบคนน่าเกลียดเป็นคนน่ารัก
เธอจะชูคนน่ารักเป็นบารมีผู้อื่น
เธอทำงานไม่รู้เหนื่อย
ไม่มีรางวัล ไม่รู้สิ่งตอบแทน

เธอมากันแล้ว
มาเป็นหมู่เป็นเหล่า
สีกาสาวะดั่งเปลวเทียน
ส่องทางสว่างไสว

ทั่วเขตคามที่เธอผ่าน
ผู้คนดำเนินทางสายกลาง
ต่างพากันหลั่งไหลแลแซ่ซ้อง
ก้องกระหึ่มราวกองทัพธรรม



แด่...ผู้ที่พอมีหวัง
สังคม..แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น
กดขี่ ข่มเหง ฉกฉวย ต่อหน้า ลับหลัง
ชีวิต...โศกเศร้า ก้าวร้าว อาฆาต ริษยา
สะสม สะสม สะสม แย่ง แย่ง แย่ง
ดวงตา...เบิกโพลง ตื่นตระหนก
ออดอ้อน ออเซาะ ละโมบ
รุกราน เบียดเบียน ขี้ขลาด
อย่า...อย่าถามเส้นทาง เพราะไม่คิดไปไหน
อย่า...อย่าถามจะทำดีอะไร เพราะไม่มีเวลา
เกิดมาทำไม ? ก็..แสวงสุขให้มากเท่าที่จะมากได้
สิ้นหวัง...ใครรู้สึกสิ้นหวังบ้าง ?
ถามสังคม...สังคมพยักหน้า
ถามชีวิต...ชีวิตคร่ำครวญ
ถามดวงตา... น้ำตาหยาดหยด
ตะวันธรรมเอยโปรดส่องฟ้า
ทะยานขึ้นเหนือขุนเขา อีกสักครั้ง
สาดแสงธรรมกระจายทั่ว
เพื่อสังคมอบอุ่นสันติสุข
เพื่อชีวิตที่ต่างยอมเสียเปรียบ เสียสละ
เพื่อดวงตาที่อ่อนโยน รักเป็นมิตร
เพื่อสิ้นหวังจะได้สิ้นสูญ
ปลุกพลังแห่งความหวังขึ้นอีกสักครา...
ใต้ร่มอโศก

สารอโศก "แด่..ผู้ที่พอมีหวัง" ปีที่ ๕(๘) ฉบับที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๗


 

ช่ ว ย
เพื่อนบ้าน...
วันนี้กาลเวลามีค่าเหลือ
สองมือฉันพลังแกร่งแรงเหลือเฟือ
พอจะเอื้ออาทรวอนช่วยเธอ

พรุ่งนี้...ฉันอ่อนแอ แก่ เจ็บ ไข้
เธอจะได้อำนวยช่วยเสนอ
วันนี้ฉันยังแกร่งแรงพะเรอ
พร้อมเสมอช่วยกิจฉันมิตรดี

ชีวิตมีค่าแท้เพียงแต่ไหน
เมื่อสิ้นความห่วงใย เพื่อนน้องพี่
ร่วมศรัทธา ร่วมสุข ทุกข์ชีวี
เถอะ วันนี้ ฉันแกร่งพอ ขอช่วยเธอ

คนนับพันชี้หน้าหยันเยาะเย้ย
เยือกเย็นเฉยสู้สรรสร้างอย่างแกร่งกล้า
ทำ ทำ ทำ เพื่อปวงชนด้วยเมตตา
น้อมกายาค้อมหัวเป็น "วัวงาน"


 

คุ ณ ค่ า แ ห่ ง ชี วิ ต
ชีวิตนี้มีคุณค่าอยู่ตรงไหน
ตอบได้ว่าคุณค่านั้นอยู่ที่แรงกาย และแรงปัญญา
แต่เมื่อใดที่มนุษย์ ไม่เอาแรงกายแรงปัญญา มาใช้ประโยชน์
มนุษย์ผู้นั้นก็จะไร้ค่ายิ่งกว่าขอนไม้ ที่เอามาทำอะไรไม่ได้
ในการแสวงหาทรัพยากร อันโชติช่วงชัชวาลทุกวันนี้
มนุษย์จัดได้ว่าเป็นทรัพยากร ที่มีค่ายิ่งกว่าทรัพยากรใดใด
วันเวลาล่วงไป ๆ บัดนี้ ชีวิตเรามีคุณค่าขึ้นมาหรือยัง ?
เราสามารถเอาแรงกาย แรงปัญญามาใช้ได้เต็มที่หรือไม่ ?
ในโอกาสที่ปีกาฬโรค (หนู) กำลังจะผ่านไป
และปีใหม่อันควรเป็นปีแห่งแรงงาน(วัว) กำลังจะผ่านมา
เราจงได้มาช่วยกันเป็นวัวงานของโลก ที่เข้มแข็ง
เข้าเข็นกงล้อธรรมจักร ให้เกริกไกร
เปิดแนวรบแห่งสัมมาอริยมรรค ให้ปรากฏ
ล้างเศษเชื้อของฤษีให้สูญสิ้นจาก จิตวิญญาณ
แม้จะเหน็ดเหนื่อยสักเท่าใด ก็จงทำ ทำ ทำ ทำไปเถิด
เพราะอีกไม่นานนัก เราก็จะได้พักอย่างสบาย
และนอนหลับไปอย่างยาวนาน ในหลุมฝังศพ
เมื่อวันนั้นมาถึง เราก็ย่อมจะไม่เสียดายอะไรเลย
เพราะเราได้ใช้แรงกายและ แรงปัญญา
ให้คุ้มกับคุณค่าแห่งชีวิตแล้ว



น้ ำ ใ จ ไ ท ย

อ้อมอกแห่งธรรม ค่อยๆ ขยับวงแขนกว้าง
แผ่ออกไป ไกลออกไป อย่างเร้น..อย่างเชื่องช้า
เปรียบประดุจดอกไม้บาน ที่ยากจะเห็นเมื่อยามขยาย
จึ่งยากนักที่สายตามนุษย์ จักมองเห็น...
มหกรรมแห่งความยิ่งใหญ่ ของน้ำใจที่เริ่มทยอยเกิดขึ้น
ท่ามกลางสรรพสัตว์หลับสนิท
ละเมอร้องไห้แทบทุกชั่วโมงยามนาที
"ตื่นเถิด ตื่นจากฝันร้าย ชีวิตน้อยที่น่าสงสาร ตื่นเถิด"
เสียงแห่งธรรม กระซิบปลอบประโลม
พลางขยับวงแขน ครอบคลุมกว้างขึ้น... กว้างขึ้น
เมตตาเถิด ! ชีวิต อย่าคิดร้าย เบียดเบียน...ด้วยมังสวิรัติ
หยุดเถิด ! หยุดฟุ้งเฟ้อ รู้กิน-รู้อยู่... ด้วยการลดอบาย
เพียงเท่านี้...ส่วนเหลือ ส่วนเกิน จะปรากฏ
เธอจะมีเวลา แรงงาน ทรัพย์สิน และสมอง
ที่จะอุทิศ เกื้อกูลให้แก่ผู้อื่น นิจนิรันดร์
สิ่งดีงามอีกมากมาย ล้วนต่างรอคอย กวักมือเรียก !
ตื่นเถิด ชีวิตทั้งหลาย อย่ามัวหลับตาย ลืมตื่น
เพื่อที่โลกจะได้สันติ
และชีวิตเราจะได้พ้นจากฝันร้าย

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก "น้ำใจไทย" ปีที่ ๕ (๘) ฉบับที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๒๗


เพลง ต ะ วั น ท อ ฟ้ า
เพ่งมองผ่านเมฆ เฉกใจให้ช้ำ
คล้ำดำซ้ำเป็น เห็นปานขวานผ่า
ความคิดเคย เฉยเชือน ก็เตือนตามมา
แม้เพียรเพ่งแพงแรงพา ผองธรรมก้าวมาหน้าแนว แล้วเล่า

ก็ยังช่างเย็น เช่นยาค่าไร้
หรือคนไซร้ซาน เขลาคลานคุกเข่า
ยอมซบจนซ้อน จมใต้ตมซมเซา
มิเงยหน้าเลยเคยเนา ฉันใดก็เยาว์เยี่ยงเดิม โธ่เอ๋ย

ฟ้าดินผินเพลิน เผินพลอย
เมินไม่คอยเอื้ออวยช่วยใด ไยเฉย
หรือธรรมต่ำศักดิ์นัก จึ่งปึ่งเลย
คนเอ๋ย ควรครวญใคร่ก่อน

ผิเป็นเช่นใด ไม่ควรด่วนท้อ
แข็งพอขอเพียง มิพาลเพี้ยนผ่อน
ยังยิ่งยงยั้งยืนหยัด ทนอาทร
แสงธรรมต้องทอบวร มิจางจิตถอน เทิดธรรม สู้ทน (เถิดเทอญ)

๑๒ มกราคม ๒๕๒๘


 

วัวแห่งการงาน
ดวงตะวันย่อมทอฟ้า
มนุษย์ย่อมมีงาน
ใครรู้บ้างไหม ระหว่าง ตะวันกับมนุษย์
แท้จริงคือสิ่งเดียวกัน
ต่างกันก็เพียงแต่คนละสภาพ...
หากตะวันเลิกทอ
จักรวาลพลันแตกดับ
ตัวของมันเองก็สิ้นอายุขัย
คนไร้งาน
คนหลบงาน...แหนงหน่าย...ชิงชัง !
รังเกียจแม้งานสุจริตสร้างสรร
เขาจะเป็นได้เพียงกากเดนชีวิต
โอ! ตะวันผู้ขบถทรยศ...อนาถา!
ผู้เข่นฆ่าล้างโคตรตัวเอง อย่างโหดเหี้ยม
รื่นเริงเถิด... รื่นเริงแห่งการงานสาดแสง
สาดแสงสีขาวอันอบอุ่นออกไป ...ออกไป
ฟังซิ! ได้ยินเสียงคร่ำครวญหมดหวังบ้างไหม ?
ดูซิ ! เห็นร่างกายอัปลักษณ์รอเยียวยา หรือไม่ ?
ฝืนใจเถิด...สักนิด สักนิด
อย่ามัวอาลัยแสง ตระหนี่พลัง
ให้ไปเถิด...สาดไปเถิด
นั่นคือวิธีเดียว
ที่จะทำให้เธอเป็นดวงตะวัน ผู้สุขเย็นนิจนิรันดร์
ใต้ร่มอโศก
สารอโศก "วัวแห่งการงาน ปีที่ ๕(๘) ฉบับที่ ๕ มกราคม ๒๕๒๘


เ ย็ น
พุทธเอยพุทธศาสน์
ด้วยอำนาจยศถาบรรดาศักดิ์
พระธรรมจึงอับเฉาเศร้าหมองนัก
เพราะถูกผลักสู่เหวความเลวทราม
ด้วยลูกศิษย์ทำเหลวไหลไม่กล้าแกร่ง
มัวแต่แข่งแย่งเป็นใหญ่ให้ล้นหลาม
หวังตาลปัตรพัดยศปรากฏนาม
กิเลสกามมิคิดลดปลดปล่อยวาง
ธรรมวินัยมีไว้ก็เป็นหมัน
ซ้ำกีดกันผู้ปฏิบัติพาลขัดขวาง
ทั้งลับหลังต่อหน้าว่าทุกทาง
แถมเอ่ยอ้างตั้งข้อหาว่า "ผิดธรรม"
พุทธองค์ทรงเป็นห่วงเรื่องนี้นัก
จึงวางหลักปักไว้มิให้ถลำ
สิ่งนั้นหรือก็คือหลักพระธรรม
อันค่าล้ำกว่าสิ่งใดในโลกา
เมื่อศึกษาปริยัติปฏิบัติพร้อม
ไม่อ้อมค้อมรับไว้ไม่กังขา
แล้วตรองตรึกครวญใคร่ใช้ปัญญา
ไม่หวือหวาวู่วามทำตามกัน
เพราะตั้งจิตคิดเป็นธรรมทายาท
มิมุ่งมาดอามิสใดให้ใครหยัน
อันลาภยศ ปลดทิ้งทุกสิ่งอัน
"บรรลุธรรม์" นั้นมีค่ากว่าสิ่งใด

"จากพระพักตร์ของพระองค์ทรงบ่งบอก
ดูภายนอกก็รู้ได้ไม่สงสัย
ว่าพระองค์ทรงห่วงธรรมวินัย
จะเพี้ยนไปในกาลอนาคต
ด้วยพุทธบุตรสุดแสนจะหายาก
ที่จะทนลำบากอย่างทรหด
ยอมสละละได้แม้ลาภยศ
ปฏิบัติตามตถาคตอย่างตรงธรรม"




ฉั น รั ก อ ต ก .

ฉันรัก อตก.
เพราะอตก.สอนให้ฉันรักเพื่อนมนุษย์ และเพื่อนสัตว์ร่วมโลกทุกชีวิต
ฉันจะนิ่งดูดาย และใจดำ อยู่ได้หรือ เมื่อเห็นเพื่อนๆ ช่วยกันแบกกันหาม
ช่วยกันทำงาน แม้หนักแม้เหนื่อยก็ไม่ปริบ่น
เพื่อนบางคนทำจน... เจ็บไข้ได้ป่วย หลังตึง เส้นยอก
ก็ไม่โอดโอย ออเซาะ ช่างอดทนเหลือเกิน... เพื่อนเอ๋ย
ฉันจะนิ่งเฉยอยู่ได้หรือ...ที่จะไม่เข้าร่วม "ขบวนการเผยแพร่อาหารผัก"
"กินผักชุบชีวิต จิตแจ่มใส กายเบาสบาย แถมถ่ายแสนคล่อง"
ฉันจะทนดูเพื่อนตาดำดำ น้องวัว น้องควาย น้องหมู น้องเป็ด
น้องไก่ น้องปู น้องปลา น้องกุ้ง น้องหอย
น้องอะไรต่อน้องอะไรเยอะแยะ ต้องพลีชีพสังเวย"ตัณหา" ของ"คนใจหิน"
ฉันจะนั่งสุขสบายอยู่ได้อย่างไร ในขณะที่เสียงหวีดร้อง ของสรรพสัตว์ ดังกึกก้อง ด้วยความเจ็บปวด... ทรมาน
ฉันต้องช่วยพวกเขา ให้เขาถูกรังแกน้อยลง... น้อยลง
คราครั้งใด ที่ท่านเคี้ยวเนื้อหนัง น้องน้องของฉัน
โปรดคิดถึงหยาดเลือด หยดน้ำตา ความทุกข์ที่ต้องพลัดพราก จากชีวิต และจากผู้เป็นที่รัก
และ...ถ้าท่านเป็นผู้เคราะห์ร้าย ผู้นั้นแหละ ท่านจะรู้สึกอย่างไร
ฉันรัก อตก.
เพราะ อตก. สอนให้ฉันรู้จัก " ก า ร ใ ห้ "
" ใ ห้ " อย่างจริงใจ สะอาดใจ
" ใ ห้ " เพื่อชำระล้างจิตวิญญาณขี้โลภ ขี้ตระหนี่
ฉันสัมผัสจิตวิญญาณที่ " ใ ห้ " ด้วยความเต็มใจ
มันมีความสุข สุขจริงๆ สุขยิ่งกว่า จิตวิญญาณที่คิดจะ " เ อ า "
ฉันสัมผัสจิตวิญญาณ ของผู้มารับประทานอาหาร...
เขามีความสุขเย็นกาย เย็นใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส
ฉันมองเขาเหล่านั้น ด้วยความชมชื่น...ชื่นใจ
ที่ได้เห็น "คน" ผู้มัวเมาฝักใฝ่อยู่แต่กามสุข
ติดอยู่ในรสอร่อยของโลกย์ ที่แสบแสน จัดจ้าน...
แต่บัดนี้...พวกเขา พากันมาลดละ
มาเสพพืช ผัก ผลไม้ ถั่ว งา...
เขาพากันมาสร้างจิต " เ ม ต ต า " ให้เกิดขึ้น...เกิดขึ้น
เขาพากันมา " ห ยุ ด " พฤติกรรมแห่งการเบียดเบียน โหดร้าย ฆ่าฟัน...
ฉันรู้สึก...ว่าพวกเขา เหมือนพี่น้อง เหมือนเพื่อน เหมือนญาติ
ถ้าไม่มีพวกเขา...อตก. คงตั้งอยู่ไม่ได้
ถ้าไม่มีพวกเขา... อาหารมังสวิรัติจะเผยแพร่กว้างไกล ไปในสังคมได้อย่างไร
ถ้าไม่มีพวกเขา..."สัจธรรม" ศาสนาพุทธแท้ๆ ก็จะไม่ถูกเปิดเผย
ถ้าประชาชน...ไม่รู้จักศาสนา ไม่เข้าใจศาสนา ไม่สนใจศาสนา...
สังคมจะเดือดร้อนเพียงใด... สงครามจะร้อนระอุไปอีก กี่หย่อมหญ้า...
ถ้าไม่มีพวกเขา...เราจะได้ฝึกหัดปฏิบัติ ขัดเกลาตน ตัดกิเลสตน...
เวลามีผัสสะ...หรือ ?
ฉันรัก อตก.
เพราะ อตก. สอนให้ฉัน "เจริญธรรม" ขึ้น ทุกวัน... ทุกวัน...
อตก. สอนให้ฉัน ตัดกิเลส ปรับปรุงพฤติกรรมที่ไม่ดี ของตนเอง
อตก. ทั้งขุด ทั้งคุ้ย กิเลสฉัน...ออกมาเต้นเร่าๆ
ให้ฉันได้เห็นหัว...หาง... กลาง... ปลาย... ของเจ้ากิเลส
อ้อ ! "เจ้าขี้โกรธ" หนวดโง้ง เขี้ยวงอก อย่างนี้เชียวหรือ
นั่นแน่ะ ! "เจ้าขี้ตะกละ" ตาลุกวาวเลย... เวลาเจอของโปรด
ผี : "หม่ำซะเลย...ดีมั้ย"
พระ : อย่าเลย...ไม่ดี ผิดศีลที่เราตั้งนะ มันขนมนี่..."
ผี : "ก็มันน่ากินออก นุ่มๆ หวานๆ มันๆ หอมๆ หย่อย..."
พระ : " บ้า ! จะกินเอาอร่อย หรือ กินเอาอะไร "
ผี : ก็มันอยากนี่ ขอนิดเดียวนะ น่า อดมาตั้งหลายวันแล้ว
"วันนี้วันเดียว เดี๋ยวพรุ่งนี้ตั้งใหม่ ดูสิเพื่อนๆ เขากินกันทั้งนั้น"
"เพื่อนๆ เขาชวนใหญ่เลย...ชวนอีกแล้ว"
โอ๊ย...เจ็บปวดขั้วหัวใจ
ก็ผีกับพระ กำลังทำศึกกันอยู่น่ะสิ
วันไหนชนะ ก็ภาคภูมิใจ อิ่มใจ ไชโย ! ชนะกิเลส
วันไหนแพ้ ก็เหี่ยว ทุกข์ ทุกข์ที่สุดในโลก
ทุกข์เพราะ "เฉโก" ไม่เอาจริง ยอมมอบใจถวาย "ผี"
แพ้พ่ายอีกแล้ว...เมื่อไหร่หนอ...จะเป็น "ไท" สักที
ทำไมเธอถึงกบฏต่อสัจจะล่ะ
จิตใจอ่อนแอ พ่ายแพ้ "ความอยาก"
ชนะอารมณ์แค่นี้ ยังชนะไม่ได้ แล้วเธอจะชนะอะไรได้เล่า
เธอจะต้องพยายาม พยายามอดต่อความอยาก อดต่อความอร่อยให้มากๆ
เธอเห็นมั้ย พอปล่อยให้กิเลสครอบงำ กำลังจิตเธอก็อ่อนแอลง...
เอ้า! อย่าท้อไปเลย...ไม่เป็นไรหรอกนะ
แพ้ก็ไม่เป็นไร...ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ฝึกใหม่
ลมหายใจยังมี...กลัวอะไร...
ตั้งหลัก...เดินหน้า...จะพยายามพากเพียรให้ตน "พ้นทุกข์" จนได้
จะสู้...จะสู้ และ จะสู้...
เราจะเอาชนะ ผีร้ายในตน เราจะชนะแน่ๆ ชนะจริงๆ
ฉันรัก อตก.
เพราะ อตก. สอนให้ฉันเข้าใจโลก... เข้าใจผู้อื่น...
สอนให้ฉันลดละ ความเอาแต่ใจตนเอง
แข็งกระด้าง...ยึดทิฐิตนเป็นใหญ่
ลดความ "ร้อน"... ลดลงบ้างๆ ก็แสนจะดีใจแล้ว...
จะเพียรลดลงไปอีกเรื่อยๆ

ฉันรัก อตก.
เพราะ "งาน อตก. " เป็นงานเพื่อธรรมจริงๆ
เรามาทำงานนี้เพื่อธรรม เพื่อยืนยันในทฤษฎี "มรรคองค์แปด"
ปฏิบัติขัดเกลากิเลสได้ ไม่หลบลี้หนีสังคม
อยู่สู้ "กิเลส" ท่ามกลางโลกย์ที่ร้อนระอุ
เราพี่ๆ น้องๆ ทำงานกันไป ขัดเกลากิเลสไปด้วย พร้อมๆ กัน
ขัดเกลาตน...และ ขัดเกลาผู้อื่น...
ต่างขัดเกลาซึ่งกันและกัน เพื่อรักษาธรรม
แต่เราจะไม่ ขัดแตก จน.. บาดหมาง.. เดือดร้อน
"สัลเลขธรรม" เป็นศิลปะอันสุขุม ละเอียด
และมีผลจรรโลงให้ศาสนาตั้งอยู่ได้
แต่เราจะพยายามขัดเกลาตน อบรมตน ให้ดีก่อนจะขัดเกลาผู้อื่น
และเราจะพยายาม ทำด้วยจิตเมตตา จิตกุศล
มิใช่ทำด้วยอารมณ์โทสะ ปฏิฆะ เพราะมีแต่จะขาดทุน

"บัณฑิตพึงตั้งตน อยู่ในคุณอันสมควรก่อน พร่ำสอนผู้อื่นภายหลัง จักไม่มัวหมอง"

ฉันรัก อตก.
เพราะ อตก. สอนให้ฉันรู้จัก...
(เยือก) เย็น ยิ้ม (แย้ม) ยอม หยุด (หยัด) ยืน ยุบ (ไม่ยุ้ย)
ฉันจะไม่ อ.ต.ก. (เอาแต่กิน)
จน อ.ต.ก. (อ้วนตัวกลม)
จะไม่สะสม อ.ต.ก. (ไอ้ตัวเก่ง)
จน อ.ต.ก. (อันตัวกู) ใหญ่ขึ้น...เบ้งขึ้น

วันนี้
ฉันไป อตก. (องค์การตัดกิเลส)
ที่เอื้ออาทรต่อการตัดกิเลสจริง..จริง..
เรามี มิตรดี เพื่อนดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี พร้อมพรั่ง
ให้เราได้พัฒนาตนขึ้นเรื่อยเรื่อย
ฉันจะเป็นเฟืองเล็กๆ สอดประสาน ประคับประคอง อตก. จนถึงที่สุด

วันนี้
ฉันเห็นดอก "น้ำใจ" ชูช่อไสว สดชื่น ที่ อตก.
ดอกเล็ก ดอกน้อย ดอกใหญ่ ยิ้มรับแสงอาทิตย์
เพื่อนที่รัก...
ยื่นมือออก..มาช่วยกันปลูกดอก "น้ำใจ" ให้งอกงามยิ่งๆ ขึ้น
ให้ "ดอกน้ำใจ" แพร่ขยายชุบชีวิตผู้สิ้นหวัง
ให้ "ดอกน้ำใจ" ทำลายล้าง "ความเห็นแก่ตน" ให้สิ้นเกลี้ยง
เราจะเป็นคนมีน้ำใจ เราจะเป็นคนมีน้ำใจ เราจะเป็นคนมีน้ำใจ
เพราะโลกนี้...วันนี้...แล้งน้ำใจ เหลือเกิน...

ฉันรัก อตก.
เพราะ อตก. ให้น้ำใจฉัน
และสอนให้ฉัน "ให้น้ำใจ" แก่ผู้อื่น
ฉันรัก อตก.

ดอกดิน
๒๘ มกราคม ๒๕๒๘


 

โลกภายในยิ่งใหญ่กว่าโลกภายนอก
กิเลสในตนสำคัญกว่ากิเลสผู้อื่น
ส่วนบกพร่องของเรา ย่อมสำคัญกว่า ส่วนบกพร่องของเขา
ผู้ใฝ่ความสุขเย็น แสวงหาแก่นแท้แห่งชีวิต นิรันดร์
ย่อมซาบซึ้ง ซาบซึ้งคติเหล่านี้
แต่แมลงเม่าที่น่าสงสาร กลับสำคัญผิด กระโจนเข้าสู่กองเพลิง ด้วยสำคัญเป็นสาระ หลงเงามายาแห่งตน ในอ่างจ้อย
แมลงเม่าเอยแมลงเม่า ไยถือสาโลกนอกตัว ยิ่งกว่าโลกในตัว
บรรพบุรุษล้วนต่างทำมาแล้วเช่นนี้ นักต่อนักรู้ไหม ?
รอคอย...รอคอย กองทัพธรรมกำลังรอคอย
แมลงเม่าโจนาธานตัวใหม่ ผู้เบื่อหน่ายต่อการเล่นไฟ ของผู้อื่น
แต่กลับสนุกสนานที่จะสำรอก พิษไฟแห่งตนให้หมดสิ้น
โจนาธานแมลงเม่า... จงก้มหัวศิโรราบ
ทิ้งอดีตอันเคียดแค้นชิงชัง ทั้งหลายไว้เบื้องหลัง
เรามาเริ่มบินกันใหม่ สิ่งชั่วร้ายในตัวเราต่างหาก ที่ต้องจัดการก่อน

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก "เย็น" ปีที่ ๕(๘) ฉบับที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘

หน้า ๒๙

เม็ดทราย หน้า | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | 32 | 33 |