เม็ดทราย ๒๘

 

พุ ท ธ า' แ ค่ ต า ย

โลก...นับวันเร่าร้อนประดุจโลกันตร์
มืด...นับวันแผ่ขยายไปทั่ว
ใจ...เห็นแก่ตัวทั้งหยาบช้าอำมหิตกำลังทวี
ทุกข์...แผ่ซ่านเพราะบาปฤทธิ์ยิ่งขึ้น ดุจห่าร้ายลงเมือง
ธรรม...คือความสว่างท่ามกลางความมืด
จักนำ...ความจริงให้ปรากฏ
ให้... โลกนี้มีเมตตาและสันติ
เบิกบาน...กันถ้วนทั่วทุก "ตัวตน"
ใน...จุดเล็กๆ ใต้ขอบฟ้ากว้าง
งาน...ที่เหล่าชนปฏิบัติธรรมอยู่ร่วมกัน ด้วยการมีศีลเป็นเครื่องขัดเกลา
มหา...ใหญ่กว่าทุกๆ คราวที่เคยมีมา
พุทธาภิเษกฯ...ประจุพุทธคุณ เพื่อความสมบูรณ์ แห่งจิตวิญญาณ
แล้ว...สุดยอดปาฏิหาริย์อันมีทั้งสะอาด สว่าง สะอาด สงบ
สุภาพ สมรรถนะ และ สามัคคีก็มีได้ ในจำนวนคนเป็นพัน
อย่าง...เนียนใน-แน่นหนา-นิ่งเนี้ยบ- และนิ้งหนอ
นี้...แหละคืองานมหาพุทธาภิเษก ที่ถูกต้องของพุทธแท้
จะ...สอดคล้องทั้งวิทยาศาสตร์และ การพัฒนามนุษยชาติ ที่ทันสมัย
ไป...เถิดไปความงมงาย ความอยากได้ ความหลอกลวง ของหัวใจ
ไหน...ไหนก็ไหนๆมาช่วยกันเสียสละ และยอมตาย
ให้กับธรรมะสักชาติหนึ่งดูบ้างเป็นไร !
อ๋อ !...ไม่ไปไหน...แค่ตาย


ถ้อยแถลง

 

ลุ ย อ โ ศ ก
พบอโศก มานี่ หนึ่งปีแล้ว
เริ่มเข้าแนว ความถูกต้อง ไม่หมองศรี
ได้ละเลิก อบายมุข เป็นสุขดี
แต่ก็มี ทุกข์เหตุอื่น ดาษดื่นไป
ค่อยค่อยทำ ค่อยค่อยคิด มิตรช่วยเหลือ
ช่วยเอื้อเฟื้อ ให้แนวทาง สว่างไสว
จากความโง่ ค่อยฉลาด วิลาสใน
บัดนี้ใจ ค่อยยังชั่ว มัวน้อยลง
แต่ก็ยัง ไม่ได้ดี อะไรนัก
พอจับหลัก ทั่วไป ไม่ใหลหลง
จะบุกบ่า ฝ่าฟันไป ไม่พะวง
มุ่งสู่ตรง ความหลุดพ้น ดั้นด้นทำ
แม้จะยาก แสนยาก ลำบากนัก
ด้วยใจรัก จะทำไป แม้ใครขำ
แม้ใครด่า ใครว่า ข้าระยำ
จะเหยียบย่ำ ขวากหนาม ไปตามทาง

เสน่ห์ สืบไท


โลก...นับวันเร่าร้อนประดุจโลกันตร์
มืด...นับวันขยับขยายแผ่ครอบคลุม ทั่วทุกตารางนิ้ว
ใจ...ของเหล่ามนุษย์ดำคล้ำ น่าสะอิดสะเอียน
ความทุกข์... ครางกระหึ่มทั่วทุกซอกถ้วนทุกซอย
เสียงร้องไห้... สิ้นหวัง ท้อแท้ โหยหวน ปานจะขาดใจ
แต่...จุดเล็กๆ ใต้ขอบฟ้ากว้างกลับอุบัติ
มนุษย์ตัวน้อย มือต่อมือ จิตต่อจิต สมัครประสาน
เข้าร่วมขบวนการทวนกระแส อย่างฮึกเหิม
ล้างโลก ล้างความมืด ล้างใจ
ล้างทุกข์ ล้างเสียงร้องไห้
สว่างแล้ว โลกกำลังสว่าง
ยิ้มแล้ว โลกกำลังยิ้ม
โอหนอ! มหกรรมแห่งการกอบกู้โลก ให้สันติ ได้เกิดขึ้นแล้ว

ใต้ร่มอโศก

สารอโศก"มหาพุทธาภิเษกฯ" ฉบับที่ ๘ ปีที่๔(๗) เมษายน ๒๕๒๗


 

พุ ท ธ ท า ย า ท

บนเส้นทางสีดำยาวไม่มีที่สิ้นสุด
อันโจษจันกันทั่วว่า นี่คือเส้นทางมรณะ
เวิ้งว้าง หวาดหวั่น น่าสะพรึง !
ที่ทุกชีวิตจะต้องเดินผ่าน ผ่านไปอย่างทุกข์ระทมปวดร้าว
กลับแซมเส้นทางสีขาวเล็กละเอียด ยากนักจักมองเห็น
เส้นสีขาวส่องประกายพวยพุ่ง อย่างสงบ... อย่างรอคอย
๒๕๐๐ กว่าปีแล้วซินะ ที่เส้นทางสายเล็กก่อกำเนิด
จากเงื้อมพระหัตถ์ยอดวิศวกรมือเอก แห่งวิญญาณ
นาม "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะ ที่อุตสาหะบากบั่น
สละเลือดทุกหยด ลมหายใจทุกกระแส จิตวิญญาณทุกดวง
สร้างเส้นทางทับซ้อนกลางวังวน
"มาเถิดลูกของข้า บุกเข้าไป...อย่ากลัว
ทางสีขาว เราตถาคตได้สร้างซ้อน
จงเดินตามทางสีขาวสายนั้น ด้วยศรัทธา ด้วยจิตมั่น ด้วยอดทน...
มาเถิด ผู้ใดปรารถนาเป็นลูกเรา จับให้มั่น ลูกเอ๋ย
ระวังกลิ่นหอม ของสวย ยั่วยวนรอบข้าง ที่มารมันดักไว้"

ใต้ร่มอโศก
สารอโศก "พุทธทายาท" ฉบับที่ ๙ ปีที่๔(๗) พฤษภาคม ๒๕๒๗


 

คาถาอโศกรำลึก '๒๗
ขณะใดที่จิตของเราทนไม่ได้ ต่อสภาพที่เราไม่เห็นด้วย
ขณะนั้นแล คือ มานะ คือ อัตตา คือ กิเลสของเรา กำลังมีบทบาท
มีชีวิตชีวา มีการเกิดอยู่ในตัวเราแท้ๆ ซึ่งมันพร้อมที่จะเจริญ พัฒนาเป็น...
อรติ ปฏิฆะ อุปนาหะ โกธะ พยาบาท ถัมภะ และสะสมให้โทสมูล ใหญ่ยิ่งขึ้น ๆ
โดยเฉพาะ ทนไม่ได้ ขณะ ที่สภาพนั้นๆ สิ่งนั้นๆ กำลังกระทบสัมผัสอยู่
หรือกำลังแวดล้อมเราอยู่ ซึ่งเป็นสิ่ง เป็นสภาพที่เราไม่เห็นด้วย เราไม่เห็นดี

ขณะใด ที่จิตของเราทนได้  วางเฉยได้  ปลอดโปร่ง เย็นสบายได้  ต่อสภาพ ที่เราไม่เห็นดีด้วย

ขณะนั้นแล คือเรากำลังจิตว่างจาก อัตตา-มานะ เป็นผู้ทนได้ดี หรือยิ่งเห็นชัด
ว่าไม่ได้ทนอะไรเลย แม้ขณะนั้น จะกำลังถูกกระทบ กระแทก สัมผัสอยู่ หรือ กำลังแวดล้อม เราอยู่ด้วยสิ่ง ด้วยสภาพที่เราไม่เห็นด้วย ไม่เห็นดี นั่นเอง

ดังนั้น ทำอย่างไร เราจะมีสติแววไว รู้ตัวเราได้ทันการ ขณะที่มีอาการต้องทน
จนที่สุด ทนไม่ได้นั้นๆ รู้เท่าทันแม้ขณะ มันเริ่มเกิด อย่างอ่อนแผ่วแรกโผล่

แล้วสร้างอิทธิวิธี ที่เราสามารถมี จัดการ อย่าให้จิตใจเรา "ทนไม่ได้" หรือ
ทำให้ไม่ต้องทน คือพยายามแก้ไขตน ให้จิตว่าง จากกิเลสนั้นๆ จนเป็นผู้รับรู้ และรู้ชัดอยู่กับ สถานการณ์ กับ ขณะ นั้นได้ อย่างไม่ได้ทนอะไรเลยให้ได้ นั่นเอง

พระโพธิรักษ์
๓๐ พ.ค. ๒๕๒๗


 

ชมพูทวีปที่ ฉัน พบ
ฉันเห็นหน้าตามันแล้ว มันเป็นเนื้อเป็นตัวฉัน
ทำให้ฉันเล็กไม่ลง มันเป็นฉันนานแสนนาน
ฉันเห็นมันเมื่อฉันตาย ฉันจับมันได้เมื่อฉันเกิด
เมื่อฉันมีพ่อที่ยิ่งใหญ่ พ่อก็ยิ่งเล็กเป็นตัวอย่าง ให้ลูกดู
เมื่อฉันรู้ภาษาธรรม ฉันเห็นกิเลสชัด
พ่อบอกว่าต้องเอาจริง ฉันพากเพียรบ้าง ไม่พากเพียรบ้าง
ฉันจึงไปอย่างช้าช้า แต่พ่อก็เมตตาปรานีฉัน เสมอต้นเสมอปลาย
เมื่อฉันเกเร ฉันก็นึกถึงพ่อเสมอ
ฉันมักจะอยู่กับพ่อ เมื่อมีงาน เพื่อฟังคำสอนของพ่อ
หกวันบ้าง สิบห้าวันบ้าง ฉันจำเจซ้ำซากอยู่อย่างนี้ เป็นเวลานาน
และแล้ววันหนึ่ง ฉันรู้ว่า มานะเป็นสิ่งทำให้คนหลุด
ทำให้พระตาย ทำให้ความฝันความหวัง พังทลาย
ฉันรู้ว่าสิ่งที่พ่อบอก มันเป็นความยิ่งใหญ่ ในศาสนา
พ่อบอกว่า ใส่มอซอซิ! เดินเท้าเปล่าซิ
ผู้น้อยไหว้ผู้ใหญ่ซิ ! ผู้ใหญ่ไหว้ผู้น้อยซิ ! ฯลฯ
ฉันได้รู้ ฉันได้เห็น ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นวิธีการ "ฆ่ามานะ"
โอ้! มารยาทไทยเจ้าเอย เจ้าเกิดมาตั้งแต่เมื่อไร
บรรพบุรุษช่างชาญฉลาด อะไรเช่นนี้ เจ้าเป็นสื่อ ให้อ่อนน้อม ถ่อมตน
เจ้าเป็นสื่อแห่งการ "ลดมานะ" เจ้าเป็นรากฐาน ของสังคมไทย
เจ้าเป็นรากฐาน ของการตัดกิเลส เจ้าเป็นความยิ่งใหญ่ ในศาสนา
ฉันระลึกได้แล้ว พ่อคือบรรพบุรุษ ดึกดำบรรพ์
พ่อมาปลุกให้ลูกได้รู้ ได้เห็น มรดกอันล้ำค่าของไทย
ที่ไม่มีชาติใดเสมอเหมือน
โอ้นิพพาน คือรากฐานของสังคมไทย จริงจริงหนอ
แล้วชมพูทวีป จะอยู่ไหนหนอ ฉันรู้แล้วว่า ฉันกำลังอยู่ในชมพูทวีป
กรองทอง
๒๐ เม.ย. ๒๗


 

ความฝันอันสูงสุด

เคยมีสักครั้งบ้างไหม
ในชีวิตของเธอ
ที่ผวาตื่นขึ้นกลางดึก
ท่ามกลางความมืดมิดเงียบสงัด
ที่ถูกปกคลุมด้วยม่านสีดำ แห่งรัตติกาล
แล้วพบว่าตนเอง ถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว เคว้งคว้าง
ในทะเลแห่งความมืดสีดำ ไพศาล
เวิ้งว้างว่างเปล่าไร้จุดหมาย
ข้างหลังคือวังวนลึกแห่งอดีต
ที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่งหาย ลับมลาย
ข้างหน้าคือดวงดาวดารดาษ เรียงราย
อยู่ในฟ้ากว้างสีคราม
แล้วระลอกคลื่นแห่งกาลเวลา
ก็พัดพาให้เธอล่องลอย ไปข้างหน้า
สู่ฟ้ากว้างที่เวิ้งว้าง ไม่เห็นฝั่ง ไร้จุดหมาย
ขอบฟ้ากว้างที่มีแต่ดาวเดือน ระยิบระยับเป็นประกาย
และสายธารแห่งทางช้างเผือก ที่ทอดตัวไปในห้วงจักรวาล
เธอเคยสงสัยบ้างไหม ถึงคุณค่า ความหมายของชีวิต
ชีวิตเล็กเล็กที่เป็นเพียงน้ำค้าง หยดหนึ่ง
ที่อุบัติขึ้นในโลกพิภพกว้างใหญ่ ไพศาลแห่งนี้
โลกพิภพที่เป็นเพียงเศษละออง ธุลีหนึ่ง
ของมหาสมุทรแห่งดวงดาวในจักรวาล
โลกพิภพที่เป็นเพียงฟองคลื่นเล็กเล็ก ฟองหนึ่ง
ที่เกิดแล้วดับลับหายไปในสายธาร แห่งกาลเวลา

เคยหรือไม่สักครั้งหนึ่งในชีวิต
ที่เธอนั่งลงเงียบเงียบ แล้วหยุดคิดถึงปัญหา
ว่าอะไรคือแก่นสารของชีวิตนี้ ที่เกิดมา
อะไรคือความหมายคุณค่า ของการเกิดมาเป็นคน
หรือว่าในสังคมที่วุ่นวายสับสน
สังคมที่แก่งแย่ง เบียดเบียน ช่วงชิงกันอลวน
สังคมที่ต่างคนต่างคำนึงถึงแต่ ผลประโยชน์ส่วนตัว
สังคมที่ต่างคนต่างมัวหมกมุ่น แหวกว่าย ไปข้างหน้า
สังคมที่ใครอ่อนแอกว่า ก็ถูกถีบกระเด็น ไปข้างหลัง
สังคมที่มือซึ่งว่ายแหวกไปแต่ละครั้ง
คือความสิ้นหวังของคนอีก หลายหลายคน ที่ถูกปัดกระเด็นไป
ถ้าหากเธอไม่มีเวลา แม้แต่จะนั่งลงเงียบเงียบ เพื่อหยุดคิด
ถึงแก่นสารคุณค่าความหมาย ของชีวิต ที่ควรใฝ่หา
เพราะถูกกำหนดด้วยเงื่อนไข แห่งการอยู่รอด ในสังคมมายา
ที่ต่างคนต่างใส่หน้ากาก เข้าหากัน

ถ้าเช่นนั้น ทำไมเธอไม่มาร่วมกับเรา สักครั้ง
เพื่อรังสรรค์สังคมใหม่ ที่พึงปรารถนา
สังคมซึ่งทุกคน มีความจริงใจต่อกัน ไร้มายา
สังคมซึ่งถ้อยทีถ้อยอาศัยพึ่งพา เกื้อกูลกัน
สังคมซึ่งบูชาความยากไร้ยิ่งกว่า ธนสารสมบัติ
สังคมซึ่งวัดค่าของคน ด้วยคุณความดี ยิ่งกว่าเงินตรา ที่ไร้แก่นสาร
สังคมซึ่งทุกคนพากเพียรบากบั่น รู้ค่าของการงาน
สังคมซึ่งจะไม่มีคนเกียจคร้าน แบ่งเบาช่วยเหลือกัน

แล้วเธอจะมีวันเวลาที่สงบสุข
ไม่เป็นทุกข์เพราะความคับข้องใจ ที่ต้องดิ้นรนแข่งขัน
ไม่เป็นทุกข์เพราะต้องมัวแต่คอยระวัง การเอารัดเอาเปรียบกัน
ไม่เป็นทุกข์เพราะต้องคอยระแวงว่า คนอื่นนั้น จะเด่นเกินหน้าเกินตา

แล้วเธอจะมีวันเวลาที่มากขึ้น สำหรับการฝันถึงชีวิตใหม่ ที่ควรใฝ่หา
ยิ่งกว่าเพียงแค่จมปลัก อยู่ในโลกมืด แห่งอวิชชา
ที่เป็นม่านบดบังดวงตา ไม่ให้เห็นความจริงสิ่งใด
อยู่ในโลกแห่งรัตติกาล อันมืดมิด
บอดสนิทจากแสงสว่าง ที่ส่องทางไปสู่จุดหมาย
ผ่านคืนและวัน ในความมืดสีขาว ท่องไปสู่ความตาย
แล้วสุดท้าย ก็ไม่ได้อะไร ที่เป็นแก่นสารสาระติดตัว
แต่ในสังคมใหม่ชีวิตใหม่ ที่เรามาร่วมกันใฝ่หา
จะมีแสงเงินแสงทอง แห่งอรุโณทัย อันคือศีลปรากฏขึ้น ในขอบฟ้า
เปิดพิภพส่องสว่าง ทะลุตลอดทั่ว ไตรภพโลกา
ในสรรพสัตว์ได้เกิดดวงตา เห็นแจ้ง อริยสัจ คือความจริง
เห็นทางเอกสายเดียว ที่ทอดตัวไปสู่จุดหมาย เบื้องหน้า
สุดขอบฟ้า เหนือขุนเขาแห่งพระสุเมรุ ที่ตั้งตระหง่านไพศาล
อันเป็นแดนสถิต ของปวงวิสุทธิเทพ ในพระนฤพาน
ที่กำลังทำงาน รื้อขนสัตว์อยู่ในโลก ด้วยสุญตธรรม
มาเถิด ขอให้เรามาร่วมกันฝันถึง ชีวิตใหม่
ฝันถึงสังคมใหม่ ที่รอเราอยู่ข้างหน้า
แล้วร่วมกันเสกสรร ให้ความฝัน อันสูงส่งนี้ กลายเป็นจริงขึ้นมา
คนละนิดช่วยกันใส่ใจนำพา
ในไม่ช้าความฝัน ก็จะกลายเป็นจริง
มาเถิดมาร่วมกันฝันถึงความฝัน อันสูงสุด
เท่าที่มวลมนุษย์ จะพึงฝันถึงได้ ในโลกพิภพนี้
และสักวันหนึ่ง ตราบเท่าที่อิทธิบาทของเรา ไม่สูญสิ้นยังคงมี
ในวันนั้น จะเป็นวันที่เราประกาศ ให้โลกได้รับรู้
ถึงความฝันที่ถูกสร้าง ให้กลายเป็นจริง
๒๑ ส.
๓๐ มีนาคม ๒๕๒๗



มู ล สู ต ร

ธรรมทั้งปวงนั้น
มี ฉันทะ เป็น มูล (ฉนทมูลกา)
มี มนสิการ เป็น แดนเกิด (มนสิการสมภวา)
มี ผัสสะ เป็น สมุทัย (ผสสสมุทย)
มี เวทนา เป็น ที่ประชุมลง (เวทนาสโมสรณา)
มี สมาธิ เป็น ประมุข (สมาธิปปมุขขา)
มี สติ เป็น ใหญ่ (สตาธิปเตยยา)
มี ปัญญา เป็น ยิ่ง (ปญญตตรา)
มี วิมุติ เป็น แก่น (วิมุติสาร)
มี อมตะ เป็น ที่หยั่งลง (อมต+โอคธา)
มี นิพพาน เป็น ที่สุด (นิพพานปริโยสานา)




เกิดใน...ธรรมชาติ

เกิดในนาทำนาอย่าขยาด ธรรมชาติดินฟ้าไม่ล่าหนี
เกิดในสวนพรวนดินทุกถิ่นที่ ครบขวบปีมีผลไม้ได้ขายกิน
เกิดในไร่ทำไร่อย่าได้หยุด เพื่อเร่งรุดให้เห็นเป็นทรัพย์สิน
เกิดในป่าบำรุงป่าเป็นอาจิณ ป่าเป็นถิ่นแดนทอง ของชาวไทย


เพลงอิสรเสรีภาพที่แท้
ผู้ที่ทำงานส่วนตัวได้ เพราะผู้นั้น หมดสิ้นความมีตัวตนแล้ว
จึงคือผู้อิสรเสรีแล้วสัมบูรณ์ ส่วนผู้ทำงานส่วนตัวไม่ได้
จึงเพราะเป็นผู้ยังไม่อิสร เสรีภาพ ผู้ที่ทำงานส่วนรวมได้จริง
เพราะผู้นั้นเป็นส่วนรวม ได้ทั้งหมด คือไม่เหลือตัวเป็นส่วนตัว แล้วจริง
จึงเป็นความอิสรเสรีในที่กว้าง
แต่ผู้ที่ยังไม่สิ้นความมีส่วนตัวนั้น
เป็นความอิสรเสรีในที่แคบแต่ตัวเอง
ยิ่งมีความเป็นตัวของตัวเอง มากเท่าใดเท่าใด
ยิ่งเป็นอิสรเสรีภาพในที่แคบ มากเท่านั้นเท่านั้น
เพราะที่แท้คือ ผู้สนองอัตตาตัวเอง แต่หลงผิดว่า ความได้ตามใจ -ได้สมใจตัวเองนั้น เป็นอิสรเสรีภาพ
อิสรเสรีภาพที่แท้จริง จึงมิใช่ความได้ตามใจตัวเอง
แต่คือความสิ้น ความเป็นตัวของตัวเอง นั้นต่างหาก

พระโพธิรักษ์
๑ พฤษภาคม ๒๕๒๗


ไ ปกับพ่อ

ฉันก้าวเดินมาถึงจุดนี้
ซึ่งเป็นที่แน่มั่นไม่หวั่นไหว
แม้หนทางข้างหน้าจะกว้างไกล
จะมุ่งไปไม่หยุดจนสุดทาง

อีกกี่ด่านอรหันต์จะฟันฝ่า
ทั้งค่ายกลอวิชชาอยู่รอบข้าง
จับจิตตัวมานะละปล่อยวาง
ทำลายล้างอัตตาฆ่าให้ตาย

ขอตามรอยพระบรมศาสดา
และพ่อท่านที่พาทำมากหลาย
ต้องรีบเดินเร่งจรก่อนชีพวาย
สู่จุดหมายสุญตานิพพานัง

จะกี่วันกี่คืนยังชื่นซึ้ง
ใจฉันจึงแจ่มใสไม่ถอยหลัง
ปีติและศรัทธาเป็นพลัง
ปัญญาดั่งยานยนต์ด้นดั้นไป

ฉันก้าวเดินมาถึงซึ่งตรงนี้
ซึ่งเป็นที่เบาสบายหายสงสัย
มีสติร่วมทางไม่ห่างใจ
ตามท่านไปลิบลิบสู่นิพพาน

สานิตย์ คนึงสัตย์ธรรม


 

อโศกรำลึก

ประณมกรน้อมจิตรำลึก
สิบนิ้ว หนึ่งดวงใจ
พระคุณผู้กำเนิดจิตวิญญาณดวงใหม่
มิใช่แม่ก็เหมือนแม่
มิใช่พ่อก็เหมือนพ่อ
แด่..พ่อท่านสุดเศียรเกล้า
ด้วยสัญญาจากใจ
จะเพิ่มพรต เพิ่มศีล ในตนให้ยิ่ง ให้ยิ่งกว่ายิ่ง
จะเพิ่มศรัทธาในท่านให้มาก ให้มากกว่ามาก
กราบแทบเท้าแด่พ่อฯ ผู้เนรมิตดวงตาดวงใหม่
สักวัน...
เมื่อใดที่พ่อติเตียนลูกต่อหน้า โดยมิต้องเกรงใจ
เมื่อนั้นแหละ ลูกจึงจะต้อง ลูกพ่อร้อยเปอร์เซ็นต์
ลูกจะพยายาม... นะพ่อฯนะ

สารอโศก "อโศกรำลึก'/๒๗" ปีที่๔(๗) ฉบับที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๒๗


 

คติ เลิกสูบบุหรี่

ติด บุหรี่ที่สูบล้วน ล่อใจ
ง่าย กว่าติดอื่นใด ทุกด้าน
เลิก ลดงดช่างกระไร เหลือสละ
ยาก ยิ่งกันทั่วบ้าน บ่มเชื้อมะเร็งรุม
เสีย ทรัพย์จับจ่ายซื้อ บ่อยซอง สูบเอย
เสีย สุขภาพเผาดอง จิตด้าน
เสีย ค่ารักษามอง โรคมะ เร็งนา
เสีย ชีพก่อนชาวบ้าน บ่นเศร้าเอาใคร

ขืนสูบก็ดั่งสร้าง โศกสุมใจเอย
ใช่จักอิ่มกายคุม ก่อไข้
เพราะหลงติดตามรุม เล่ห์โปร่ง สมองนา
แท้ก่อโรคลามให้ ทุกข์ห้อม ทรมาน

บุหรี่ใช่เครื่องจ้อง จำเป็น ชีพเอย
ล้วนแต่เราหลงเห็น สุขให้
ส่วนธาตุบุหรี่เกณฑ์ ก่อโรค มะเร็งแล
กว่านึกโทษเมื่อใกล้ กลอกหน้าลาตาย

ความร้ายบุหรี่ล้วน รุมผลาญ
หมดรสเรื่องอาหาร หดน้อย
เสียสินทรัพย์เกินประมาณ หมดสุข ภาพนอ
เป็นแหล่งรับโรคร้อย บุหรี่ร้ายตายทั้งเป็น

ควรเห็นว่าจิตเจ้า ขอจง คิดดู
แรกก็หลงสูบลง เล่นแท้
มินานกลับติดดง คอยหลบ สูบแล
เลยตกเป็นทาสแพ้ พ่ายล้วนเร็วตาย
๒๕๒๒



คนกับควาย
คนก็คนทำนาประสาคน
คนกับควายทำนาประสาควาย
คนกับควายความหมายมันลึกล้ำ
ลึกล้ำทำนามาเนิ่นนาน
แข่งขันการงานมาเนิ่นนาน
สำราญเรื่อยมาพอสุขใจ
คนก็คนทำนาประสาคน
คนกับควายทำนาประสาควาย
คนกับควายความหมายมันลึกล้ำ
ลึกล้ำทำนามาเนิ่นนาน
แข็งขันการงานมาเนิ่นนาน
สำราญเรื่อยมาพอสุขใจ
ไปเถอะไปพวกเราไปเถิดไป
ไปเถอะไปแบกไถไปทำนา
ยากจนหม่นหมองมานานนัก
นานนักน้ำตามันตกใน
ยากแค้นลำเค็ญในหัวใจ
ร้อนรุ่มเพียงใดไม่หวั่นเกรง
เป็นบทเพลงเสียงเพลงแห่งความตาย
ความเป็นคนสลายลงไปพลัน
กระฎุมพีกินแรงแบ่งชนชั้น
ชนชั้นชาวนาจึงต่ำลง
เหยียดหยามชาวนาว่าป่าดง
สำคัญมั่นคงคือความตาย

คาราวาน


 

เกิดเป็นคน

เกิดเป็นคน จงเป็นคน อย่าประมาท
ชีวิตชาติ หนึ่งนั้น พลันประเดี๋ยว
ชีวิตนั้น สั้นนัก เผลอพักเดียว
ชีวิตเหี่ยว พลันเจ็บตาย ใครยืนยง
เกิดเป็นคน จงเป็นคน อย่าประมาท
ในโอวาท พุทธองค์ ทรงสั่งสอน
เข้าพรรษา เร่งพละ ละนิวรณ์
สติซ้อน เพิ่มปัญญา บารมี
เกิดเป็นคน จงเป็นคน อย่าประมาท
จงพิฆาต หมู่มารฤทธิ์ ไม่คิดหนี
จนดวงจิต สดใสจ้า ไร้ราคี
พรรษานี้ ขอจงสร้าง "พลังธรรม"
งูเขียว




ภิกษุอยู่เข้าจำพรรษา
มีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง

มีกิจวัตรต้องทำ ๑๐ อย่าง คือ

๑. บิณฑบาต
๒. กวาดวัด
๓. ปลงอาบัติ
๔. ทำวัตร
๕. ขวนขวายปัจเวกขณ์ภาวนา
๖. อุปัฏฐากอุปัชฌาย์อาจารย์
๗. บริหารสิ่งของและร่างกาย
๘. ขวนขวายเรียนธรรมวินัย
๙. เอาใจใส่ของสงฆ์และกิจสงฆ์
๑๐. ดำรงตนให้น่าไหว้




เข้าพรรษา-เพิ่มพลังชีวิต

ไม่ว่าแพ้...ไม่ว่าชนะ
ย่อมต้องมีจุดเริ่มต้น แห่งการเพิ่ม ฐานตบะธรรม อันยิ่งยวด
ชนะ...เพื่อชัยชนะอันยิ่งยิ่ง
แพ้... เพื่อจะได้เริ่มต้น
ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ที่จะลองดู ลองเอาชนะอีกสักยก
สายฝนมาแล้ว ราดรดหยาดหยด ชุ่มชื่น
ดอกไม้-สายฝน ผูกพันประสานดุจคู่รัก
ชีวิตกับศีลกับตบะธรรม ย่อมประดุจเดียวกัน
สายฝนมาแล้ว มาพร้อมกลองรบลั่นกระหึ่ม
พุทธบุตรทั้งหลาย ผู้ปฏิญาณรับบูชาพระโคดม ตลอดชีวิต
สัญญาณได้เริ่มแล้ว เริ่มบ่มเพาะชีวิตแห่งพุทธะ
สิ่งที่แล้วคือสิ่งที่แล้ว
แต่ต่อไปนี้ จะไม่มีคำ "ก็แล้วแต่" หรือ "อะไรก็ได้" อีกต่อไป
นอกจาก จริงจัง-เอาจริง-ตั้งเป้า-มุ่งมั่น
และสุดท้าย... ชัยชนะจักต้องตก เป็นของเรา
ใต้ร่มอโศก

สารอโศก "เข้าพรรษา-เพิ่มพลังชีวิต" ฉบับที่๑๑ ปีที่๔(๗) กรกฎาคม ๒๕๒๗


 

สู่โลกใหม่ที่ไม่ตาย
จากเหนือจรดใต้
จากตะวันออกจรดตะวันตก
จากต่างพ่อต่างแม่
เขารักที่จะอยู่ร่วมกัน

เขาพากันออกจากโลกเก่า
อันเป็นโลกแห่งความเศร้าและความตาย
เขาพากันไปเป็นหมู่เหล่า
เพื่อพ้นจากความเศร้าและความตาย

เขาพากันละทิ้งอบายมุข
เขาตัดใจจากความสุขกามโลกีย์
เขาไม่ไยดีต่อลาภยศ
เขาต้องการไปสู่...โลกใหม่ที่ไม่ตาย

เขาได้พบโลกใหม่กันแล้ว
โลกใหม่นั้นมีอิสระ
โลกใหม่นั้นมีสันติ
โลกใหม่นั้นสร้างชีวิตให้มีคุณค่า อย่างมากมาย

คุณคนหนึ่งใช่ไหมที่กำลังแสวงหา
คุณคนหนึ่งใช่ไหมที่ปรารถนา การเดินทาง
มาเถิดไปกับรถด่วนขบวนสุดท้าย...
แล้วคุณจะได้พบกับโลกใหม่ที่ไม่ตาย




เพลง ค น พ้ น โ ล ก

จักรวาลทุกจักรวาล โลกทุกโลก
มีแรงดึงดูดเอาทุกสรรพสิ่งแห่งมันไว้
อย่างจะไม่ยอมให้อะไร
หลุดร่วงออกไปนอก "ความเป็น" (โลก)
ของมันได้ง่ายง่ายเลย
ฉันใด ก็ ฉันนั้น
ดังนั้น ผู้ปรารถนาจะพ้นแรงดึงดูดของโลก
ให้สู่ความเป็นอิสรเสรีได้แน่แท้
จึงจะต้องใช้แรงมหาศาล
ด้วยความพยายามยิ่งยวด
และมีปัญญาอย่างถูกจุดจริง
จึงจะหลุดพ้นโลก พ้นจักรวาล
หรือพ้นแรงดึงดูดของโลกของจักรวาล
เป็น "โลกุตระ" ได้
มกราคม ๒๕๒๕



สัตว์ทั้งหลายย่อมเคลื่อนไหว
วัตถุทั้งปวงย่อมหยุดนิ่ง
ใครฝึกตนให้เป็นผู้ไร้ความเคลื่อนไหว
ย่อมไม่ได้ประโยชน์อะไร
นอกจากทำตนให้แน่นิ่งกับวัตถุ
ถ้าท่านจะหาความสงบยิ่งที่ถูกแบบ
ก็ควรเป็นสงบนิ่งภายในการเคลื่อนไหว
เว่ยหล่าง




สู่โลกใหม่ที่ไม่ตายในวันนี้
ด้วยวิถีแห่งสัจจะอหิงสา
เพื่ออรรถประโยชน์สุขสู่ประชา
ถวายชีวาเพื่อธรรมะพระพุทธองค์
ทิ้งโลกเก่า โลกอบายหายนะ
สู่โลกุตรโลกใหม่ที่ไม่หลง
มาเถิดมาผองเราเผ่าพุทธพงศ์
ร่วมยืนยง สู่โลกใหม่ที่ไม่ตาย...

สมณะสรณีโย



สิ่งที่เราต้องการนั้น
มันไม่ใหญ่โต
อัครฐาน อะไรดอก !
ชีวิตง่ายๆ ถูกๆ ขยันๆ
รู้จักพอดี
มีความซื่อสัตย์
มีเมตตา
เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเสมอๆ
ชีวิตเหมือนดอกหญ้า
แต่มันใหญ่ยิ่ง
เป็นมหาพลังเย็นโอบอุ้มโลก
และคือการเข้าถึง
โลกใหม่ (ปรโลก) ได้แล้ว

สมณะโพธิรักษ์



สู่ โ ล ก ใ ห ม่

กรงขังแห่งโลก
กักขังจิตวิญญาณมนุษย์ ดวงแล้วดวงเล่า... มิให้ผุดเกิด
ป้อนหยาดหยดน้ำผึ้งรสดั่งอมฤต ภายใต้ความมืดอันอนธการ
"อย่าแหกโลก อย่าเจาะกระเปาะโลกเลยสหาย"
เสียงสำทับพลาง หยอดหยดน้ำหลงใหล หยดแล้วหยดเล่า
ผู้คนเมามาย ต่างเมามายแล้วในรส อันแสนหวาน
"เรื่องอะไรที่จะทิ้งสุขทั้งหลาย ประดามี..."
"เรื่องอะไรจะฝึกอดฝึกทน ข่มชนะใจตัวเอง..."
"เรื่องอะไร ทำทำไม สุขทุกข์มันของธรรมดา ทำใจยอมรับ ก็หมดเรื่อง..."
"เรื่องอะไร เรื่องอะไร ทำดีแค่นี้ แค่นี้ก็พอแล้ว..."
อนิจจา ! ...มนุษย์กำลังหลงใหลดอกไม้ ข้างทางประดามี
จนลืมค้นหาเป้าหมายชีวิต
อนิจจา ! ...มนุษย์กำลังประมาทในกรรม
หลงคิดทำดีแค่นี้ก็เกินพอ !
ประมาทจนขอปฏิญาณ สะสมบารมีกระจิริด ด้วยหลงว่าพอแล้ว พอแล้ว
อนิจจา ! ...โลกถึงกับต้องมี องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
อุบัติเพื่อชี้ภัยแห่งวัฎฎะ ที่กำลังหลงระเริงหยาดเยิ้ม
ว่านั่นบาป ว่านั่นทุกข์ ทุกข์จริงจริงนะ
"โลกใหม่" กำลังรอการตัดสินใจ
เพิ่ม "ศรัทธา" ในคำสอนของพระพุทธองค์
แม้จะยังทำไม่ได้ ก็ขอให้ยอมรับ
อย่าหาเหตุผลอธิบาย เพียงเพื่อเข้าข้างตัวเองเลย
ใต้ร่มอโศก

สารอโศก "สู่โลกใหม่" ปีที่๔(๗) ฉบับที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๒๗

หน้า ๒๘

เม็ดทราย หน้า | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31