เม็ดทราย ๒๗
บนเส้นทางไปสู่ดวงดาว
ท่ามกลางรัตติกาลที่มืดมิด
ในความฝันอันยาวนาน
ฉันฝันถึงการเดินทาง ไปสู่ดวงดาว
บนเส้นทางนั้น มิได้โรยไว้ด้วย กลีบกุหลาบ
แต่มันก็ไม่ใช่หนทางวิบาก
ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม ขวางกั้นด้วย
ฉันรู้ดี
ว่ามันไม่ยากเกินกว่า ที่จะก้าวเดินไป
แต่มันก็ยากแสนยาก
ที่จะตัดใจเดินฝ่าไปข้างหน้า
เพราะเท้าแต่ละข้างของฉัน
ถูกผูกติดไว้กับลูกตุ้ม แห่งความทรงจำ
ที่เป็นสัญญาวิปลาสในอดีต
ฉันรู้ดี
ว่ามันเป็นเพียงฝันร้ายอันยาวนาน
เป็นเพียงภาพมายาในอดีต เมื่อวันวานที่ฉายตัว ไปเบื้องหน้า
ปรากฎให้เห็น เป็นหน้าผา ขวากหนาม และเหวลึกขวางกั้น
ฉันรู้ดี
ว่านี่เป็นเพียงฝันร้ายอันยาวนาน
แต่บนเส้นทางไปสู่ดวงดาว
ท่ามกลางเมฆหมอกในความฝัน ที่มืดมัวเคลือบคลุม
ฉันไม่กล้าตัดใจเดินฝ่า ไปจนถึงที่สุด
ปล่อยให้ตนเองดิ้นรน กระเสือกกระสน
เหนื่อยเหน็ดทุกข์ทรมาน
ทำสงครามอยู่กับภาพมายา ในความฝัน
ทำไมนะ ฉันถึงไม่ตัดใจเดินฝ่าไป จนถึงที่สุด
เพื่อจะได้ประจักษ์กับความจริงที่ว่า
เส้นทางไปสู่ดวงดาวนั้น อยู่แค่เอื้อม
และภาพที่ปรากฏทั้งหมด
เป็นเพียงเงามายา ในความฝัน
กาลเวลาผ่านไป
ในการต่อสู้กับฝันร้าย ที่ยาวนาน
เมื่อไรกันนะ
ที่ฉันจะได้ตื่นขึ้น จากความฝัน
และพบเส้นทาง ไปสู่ดวงดาว
๒๑ ส.
๑๐ สิงหาคม ๒๕๒๖
ผึ้ ง น้ อ ย
ผึ้งเอย แม้ตัวเจ้าจะเล็กกระจ้อย
แต่เมื่อผนึกรวมเป็นกองทัพ
มีทะเลาะเบาะแว้ง
มีเพ่งโทสถือสา
ต่างเมตตาให้อภัยส่งยิ้ม
เหล่ามารแหล่งใดหนอ จะหาญกล้า
เหล่ามารพวกใดหนอ จะต่อกร
ผึ้งน้อย
เจ้าทำงาน เจ้าเจียมตน
ไม่คิดเล็กคิดน้อย
เจ้าทำงานด้วยรู้ค่าแห่งงาน...
ทำงานอย่างขยัน
เจ้าทำงานด้วยระบบ หลายมือ หลายหัวคิด
สัตว์อื่น มันอาจจะทำงานสำเร็จ แต่เพียงลำพัง
แต่ผึ้งเอย เจ้าช่างอัศจรรย์เหลือเกิน
ที่แม้ต่างชีวิตต่างความคิด
ยังสามารถผนึกประสานรวมกัน ฟันฝ่าเอาชัย
เจ้าเก่งจริงๆ ผึ้งเอย
ใต้ร่มอโศก
สารอโศก ฉบับผึ้งน้อย ปีที่ 4(7) ฉบับที่ 1 สิงหาคม 2526
กลับคืนสู่ธรรมชาติ
จากมา ณ ที่ไหน ขอจงกลับไป ณ ที่นั้น
กลับไปสู่สภาพ เบา-ว่าง -สะอาด -สงบ
สู่วิถีชีวิตอันเรียบง่าย พึ่งพาวัสดุแต่น้อย
อารยธรรมยุคใหม่ ยุคแห่งสารพัดสิ่ง ของเพื่อความสะดวก สบายรีบเร่ง
จะต้องหยุดยั้ง ช่วยกันร่วมมือกันหยุด
เราจะเป็นมนุษย์ทวนกระแส ร่วมฟันฝ่า
กลับไปเถิด
มาจากที่ไหน ขอให้กลับไป ณ ที่นั้น
มันอาจจะยาก... แต่ถึงจะยาก
รู้ไว้เถิดว่า
พระพุทธองค์ทรงแย้มสรวล อย่างอนุโมทนา
กลับไป กลับมา
ถึงอดีตแห่งสัจจะ มาปักมั่น ณ ปัจจุบัน
นั่นไง พระองค์แย้มสรวลอีกแล้ว สาธุ สาธุ
ใต้ร่มอโศก
สารอโศก ฉบับ กลับคืนสู่ธรรมชาติ ปีที่ 4(7) กันยายน 2526
โ ห ม ก ะ ล า
อัตตา หิ อัตตโน นาโถ
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ตนนั่นแหละต้องพึ่งตน ให้มากที่สุด
แล้วโลกจะสงบ แล้วโลกจะสันติ
อัตตา หิ อัตตโน นาโถ
ทุกทุกจุดต้องหัดพึ่งตน
ครอบครัว-หมู่บ้าน-ตำบล -อำเภอ-จังหวัด
ต่างก็ล้วนพึ่งตน
นี่ซิ ประเทศชาติจึงสุขเย็น
เริ่มแรก...
พึ่งตนเท่าที่สามารถ อย่างน้อยก็โดยที่
ง้องอนความเจริญ จากเทคโนโลยี ให้น้อยที่สุด
ใช้สิ่งรอบตัว รอบบ้าน
สร้างสรรประโยชน์
เพื่อต่างคน จะได้มีงานทำ
ต่างคนจะได้เกื้อกูลกัน
เฉลี่ยกำไร ไม่ไหลรวมกระจุก
ทั้งยังได้ถนอมโลก ให้สดสวย
มาซิมา
มาถอยหลังกันเถิด
กลับคืนสู่ชีวิตเรียบง่าย
พึ่งพาผลิตภัณฑ์จากโรงงาน ให้น้อยที่สุด
เพื่อเรา...เขา... แล้วก็โลกใบนี้
ใต้ร่มอโศก
สารอโศก ฉบับ โหมกะลา ปีที่ 4(7) ฉบับที่ 3 ตุลาคม 2526
ธรรมจักทำให้เบิกบาน
ในสายธารแห่งชีวิต
ผสมเศษเลือดเศษเนื้อเท่าใดหนอ
นับแสนแสนล้านล้านกัปกัลป์
เศษเลือดเศษเนื้อยังคงทยอย ทับถม
ในสายธารแห่งชีวิต
ผสมน้ำตาแห่งความปวดร้าว มากมายเท่าใดหนอ
นับแสนแสนล้านล้านกัปกัลป์
หยาดหยดแห่งน้ำตา ทยอยหลั่งริน มิสร่างซา
โอ้ชีวิตเอ๋ย !
โอชีวิตเอย !
วังวนแห่งทะเลทุกข์ เมื่อใดจักรู้แจ้ง
สังสารวัฏแห่งความขมขื่น เมื่อไรจักรู้ทัน
มายา...โลกอันแสนมายา
ฉาบพอกน้ำหวาน หุ้มห่อมหันตภัย อันสดสวย
กามเป็นของร้อน
แต่ชีวิตเล่า ไยกระโดดตะครุบ อย่างแสนยินดี
ไม่มีวิถีทางใด จักแจ้งสว่าง ห้วงอนันตทุกข์
เว้นแต่ธรรม
ธรรมจักพาลอยล่อง มิหวั่นผองภัย
ธรรม...จักนำให้เบิกบาน จริงจริง
ใต้ร่มอโศก
สารอโศก ฉบับ ธรรมจักทำให้เบิกบาน ปีที่ 4(7) ฉบับที่ 4 พ.ย.-ธ.ค. 2526
ก ว่ า จ ะ พ บ
งานสันติอโศกโลกสีขาว
ผ่านพ้นไปอีกคราวแล้วจริงหนอ
ยกมือไหว้จากลาน้ำตาคลอ
ภาพแม่พ่อพี่น้องที่ห่างไกล
ความเยียบเย็นเข้มข้นอยู่เต็มตื้น
เก็บซ่อนฝืนหลบหน้าน้ำตาไหล
ไม่อาจกล่าวอำลาแม้อาลัย
ถึงปีใหม่คราวหน้ารีบมาเยือน
จะอยู่ใกล้หรือไกลก็ไม่ว่า
ขอจงมาที่นี่จะมีเพื่อน
ซึ่งจริงใจไมตรีคอยชี้เตือน
มิให้เลือนลืมทางห่างนิพพาน
มีพ่อท่านเมตตาพาเรียนรู้
มาเถิดผู้ศรัทธาและกล้าหาญ
กว่าจะพบมรรคาและอาจารย์
วัยวันผ่านล้มลุกทุกข์เหลือทน
๑๑๗ ส.
สันติอโศก '๒๗
กงล้อประวัติศาสตร์
จารึกแผ่นศิลาแห่งกาลเวลาฝังแน่น
ถึงกาลครั้งหนึ่งหลังกึ่งพุทธกาล ไม่นาน
ที่เหล่าบริษัทพรั่งพร้อม
เทิดธรรมกว่าชีวิต
ขัดเกลาตนสุดขัดเกลา
ให้ ให้ ให้ และเสียสละสูงขึ้น สุดอนันต์
เขาทั้งอยู่ฝึกอ่อนน้อมถ่อมตน
ฝึกอยู่อย่างคนจนที่กินน้อย ใช้น้อย
สร้างค่านิยมทวนกระแส เหล่าโลกีย์
ยึดมั่นศีล มั่นในธรรม
เคร่งครัดตนฝึกผ่อนปรนผู้อื่น อย่างเห็นใจ
โอ ! มนุษย์ทวนกระแส
เขามากันแล้วมากันเป็นกองทัพ
หมายบดขยี้โลกียจิตให้บริสุทธิ์ สะอาด
เป็นการกวาดล้างด้วยพลัง สูญญาณู เพื่อสันติภาพ
หากโลกียะ ถูกขจัดได้สำเร็จ
หลังจากวันนั้น...
โลกก็ย่อมจะสันติ สงบ และ ร่มเย็น
ใต้ร่มอโศก
สารอโศก สันติอโศก'27 ฉบับที่ 5 ปีที่ 4(7) มกราคม 2527
ทางสายเก่า ทางสายใหม่
ออดแอด ! ออดแอด !
เกวียนเก่าคร่ำคร่าเดินทางสู่อดีต อย่างช้าช้า
ทิ้งรอยเกวียนเป็นทางไว้เบื้องหลัง
พลันน้ำในรอยตีนโคถูกบดขยี้ กระจาย
ฮึ่มฮึ่ม! ครืนครืน! ฮึ่มฮึ่ม! ครืนครืน!
รถยนต์สวยสดทะยานสู่อนาคต คะนองกึกก้อง
แผดเสียงลั่นราวฟ้าร้อง
เพื่อแข่งขันกับเวลา
ใช่แล้ว เวลาที่เป็นตัวกินสรรพชีวิต ไม่ไว้หน้า
แต่มันก็ยินดีจะแข่ง
ออดแอด! ออดแอด!
ฮึ่มฮึ่ม! ครืนครืน!
นับวันสองกระแสเสียงห่างกัน ทุกที ทุกที
แว่วเสียงหัวเราะเยาะ เสียดสี อยู่ลิบลิบ
ทางชีวิต
ทางหนึ่งกลับสู่ความเรียบง่าย สันโดษแค่ปัจจัยสี่
ทางหนึ่งกลับสู่ความวุ่นวาย สนุกสนาน ฟุ้งเฟ้ออึงคะนึง
ออดแอด ! ครืนครืน!
ครืนครืน! ออดแอด!
ห่างกันแล้ว นับวันก็ยิ่งห่างกัน
สุดจะกู่ร้องหวนกลับ
มนุษย์เอย มนุษย์หนอ เลือกเอา ตัดสินเอา
ออดแอด! ออดแอด!
ทางสายนี้สะอาด สว่าง สงบ และ สุภาพ เพียบพร้อม
เสียงนกร้อง ใบไม้กระทบกิ่งก้าน
มิใช่เสียงเครื่องจักรอึงอลโกลาหล
ยอดไม้เขียวขจี สวยสด สะอาดตา
มิใช่ตึกรามเสียดฟ้า
บดบังสายตาอันจะมองไกลอิสระ
ทุกย่างก้าวแห่งการดำเนินชีวิต
แน่วแน่สุขสบาย สุขสงบ
ลมหายใจอ่อนโยน
พร้อมรอยยิ้มบานสะพรั่ง
มิใช่ความเร่งร้อนดิ้นรน กระเสือกกระสน
มิใช่ ทำ ทำ ทำ กอบโกย ให้มากที่สุด
โดยมิได้หวัง แบ่งปันแก่กันและกัน
แม้พื้นถนนยังสึกหรอ ด้วยรอยกระแทก ส้นแท้แท้
แม้ลมหายใจยังร้อนระอุ
ราวกับอยู่ท่ามกลางทะเลทราย
และใบหน้าอันเครียด...เครียด ราวหินผา !
ออดแอด ครืนครืน! ออดแอด ครืนครืน!
ห่างกัน นับวันก็ยิ่งห่างกัน
สายไปไหมที่จะตัดสินใจเลือก วิถีชีวิต ?
รถยนต์คันสวยราวกับจุติจาก ฟากฟ้า
ห้อตะบึงแสนสนุก
ผู้โดยสารเกาะเกี่ยวจนหลามล้น
เสียงเชิญชวน ยั่วเย้าหลงใหล
อาหาร อาหารอันมากสี หลากวิจิตร สารพัดอร่อยลิ้น
ที่อยู่อาศัยนับแสนล้านรูปทรง
หาเงินเข้าซิ ก่อนจะนอนอาศัย
ยา...เรามีมากราวกองทัพ
พร้อมรักษาโรคร้ายร้อยแปด
เครื่องนุ่งห่มนั้นเล่า
ล้วนเฉิดฉาย ประกวดประขันสุดดิ้น
อยู่ทำไมกับชีวิตที่พอกินพออยู่
อยู่ทำไมกับชีวิตบนความเรียบง่าย ?
อิสระแห่งชีวิตทุกคนมีสิทธิ์
แต่มันขึ้นอยู่กับความสามารถของ ทุกทุกคน
มาเถิด มาแย่งฉกฉวยกัน
มือใครยาว เขาก็คือผู้ชนะ
ออดแอด ครืนครืน! ออดแอด ครืนครืน!
เกวียนกับรถสุดสวย นับวันจะห่างกัน
รอยล้อเกวียนฝากประทับบนแผ่นดิน
อย่างทะนุถนอม อย่างอ่อนโยน
ดูธรรมชาติแวดล้อมของเราซิ
สะอาด บริสุทธิ์ สดชื่น
ไม่มีสารเคมี ยาพิษในอาหาร ในน้ำ ในอากาศ ในแผ่นดิน
ยาของเราจึงอาจมีน้อย
อาหารของเราแม้ไม่หลาก เป็นกองทัพ
แต่ทุกคนต่างพอมีกิน
ร่างกายกลับแข็งแรงอดทน อย่างประหลาด
ผ้าเสื้อแม้ไม่สวย
แต่ทุกคนต่างล้วนอบอุ่น
กันร้อนกันหนาว ไม่อนาทร
แม้บ้านช่องห้องหับ ต่างล้วนสมถะ ไม่ใหญ่โต
เพราะเพียงหมายเพื่ออาศัย
มิใช่ประกวดประชันขันแข่ง
โดยแท้จริง
ชีวิตก็มีความเป็นอยู่พอดี
ส่วนที่เกินเหลือ ย่อมจะแบ่งเจือจาน โดยสัจธรรม ของมันเอง
ประดุจสายน้ำจากที่สูง ย่อมหลั่งรินแอบขยายสู่ ณ ที่ต่ำกว่า
ออดแอด ออดแอด!
กลับเถิด กลับมาสู่ชีวิตธรรมชาติ บริสุทธิ์
อากาศ น้ำ แผ่นดิน บริสุทธิ์
เกวียนแม้จะเก่า แต่ก็มิถึงกับผุพัง
รู้ไหม...ของในโลกนี้
ธรรมชาติได้ประทาน ให้พอเพียงกับ ความจำเป็น ของทุกทุกชีวิต
แต่ไม่สามารถที่จะสร้างให้พอ กับความโลภ ของทุกทุกชีวิตได้
รู้ไหม?... สองข้างทางของรถยนต์สุดสวย บังเกิดสิ่งใดขึ้น
ความเจริญ ! ใช่แล้ว ใครใครขานเรียก ความเจริญ
อันเต็มเปี่ยมด้วยศิวิไลซ์ !
ท่ามกลางเครื่องมือเทคโนโลยี อันราวกับของวิเศษ
และคอมพิวเตอร์อันยอดฉลาด ในหล้าโลก
ได้ค่อยค่อยทำลายคุณภาพ แห่งชีวิต ทีละน้อยทีละน้อย
มันได้ดึงประสิทธิภาพแห่งชีวิต ให้ต่ำลง
ด้วยการรับเป็นผู้สนอง กระทำการเสียเอง
ความสามารถของมนุษย์ กำลังถูกกัดกร่อน ให้สาบสูญอย่างช้าช้า
เขาต่างภูมิใจว่า โลกของฉันยอดเจริญ
ดูซิ ! เราทำให้เหล็กลอยฟ้า
ดูซิ ! เราทำให้ภูเขาถล่มทลาย เป็นแอ่งน้ำ บ่อใหญ่
จากพื้นดินเพียงพริบตา
ก่อเกิดแท่งหิน สูงเสียดเมฆ
อัจฉริยะจริงหนอ อัจฉริยะเอย
แต่ทว่า...
สงคราม! สงคราม!
ทุกหนแห่งมีควันไฟสงคราม
ประเทศต่อประเทศ
เพื่อนบ้านต่อเพื่อนบ้าน
พี่กับน้อง
พ่อกับลูก
เกิดอะไรกันขึ้นบนโลกในยุคนี้
ที่ได้รับการยกยอเจริญสุดยอด
ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!
คนกำลังฆ่ากัน
ธรรมชาติแตกร้างขาดสมดุล
จิตวิญญาณของมนุษย์แห้งแล้ง ดุจทะเลทราย
คะครืน ! คะครืน !
เสียงรถคำรามประดุจปีศาจ
เส้นทางสายนี้กระไรจึงแย่งกันจอง
ออดแอด! ออดแอด!
มาเถิด มาค่อยค่อยพากันไป
เราอาจไม่มีเครื่องมือทันสมัย
แต่เราก็สุขสบาย มีกิน มีใช้
สุข แม้จะไม่ฟุ่มเฟือย แต่ต่างก็มี ตามอัตภาพ
อัตตา หิ อัตตโน นาโถ
เราต่างจะพึ่งตน ทุกคนต่างอาศัย พึ่งตน
ไม่ต้องง้องอนผู้อื่น
ไม่จำเป็นต้องอาศัยผู้อื่น
แต่ขณะเดียวกัน กลับกระหายต่อการ เกื้อกูลคนทั้งผอง
ชีวิตอันเรียบง่าย
พึ่งเงินตราให้น้อย
ด้วยต่างปลูกกินได้เอง
กระนี้แหละ อัตตา หิ ขนานแท้
เมื่อทุกคนต่างพึ่งตน
สังคมเราย่อมยืนหยัดช่วยตัวเอง ได้เป็นจริง
มิต้องวิงวอน
มิต้องอาศัยจมูกผู้อื่นหายใจ
ชีวิตอิสระ
ชีวิตอันเป็นไทยไท
ออดแอด! ออดแอด!
ล้อเกวียนประจงทาบผ่านพื้นผิว
ทิ้งฝุ่นธุลีไว้เบื้องหลังเล็กน้อย
ฉันประจงก้มดื่มน้ำอันใสสะอาด ในรอยตีนโค
ดวงตะวันใกล้พลบ
แต่ยังมิสายเกินไป
ต่อการหวนกลับสู่ทางเกวียนสายนี้
ออดแอด! ออดแอด!
มาแล้วเกวียนเก่าคร่ำคร่า
ใครจะขึ้น รีบตัดสินใจโบกมือ
โคทวี
๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
สู่ทางเกวียนสายเก่า
พันธุ์ไม้นานาสารพัดหลากสี
หอม หอม...ส่งกลิ่นยั่วยวน รายล้อมสองฟากถนน
ถนนที่ทำจากหินซีเมนต์
ฝูงชนหลั่งไหลอัดแน่น
ก้าวเข้าไป ก้าวเข้าไป
เส้นทางสายนี้สุขสม เสพย์สม
สารพัดดั่งใจหวังประดุจแก้ว สารพัดนึก
อยากหนาวได้หนาว อยากร้อนได้ร้อน
รวดเร็วตอบสนอง
แต่ใครจะรู้บ้างไหม?
สุดปลายทางคือ หน้าผาสีรุ้ง
สงบ ทะมึน รอคอยเหยื่อน้อย อันโอชะ
กลับเถิด สหายชน
ถอยกลับสู่เส้นทางแต่เก่าก่อน
ที่บรรพบุรุษล้วนเคยอยู่อาศัย
แม้จะขรุขระ ไม่สะดวกสบาย
แต่โอหนอ ! ช่างสุขเย็นเสียนี่กระไร
ชีวิตราวนกน้อยอิสระ
ปัจจัยสี่เพียงแค่ยังชีวิต...ไม่ฟุ้ง ไม่เฟ้อ
อยู่กันอย่างน้องน้องพี่พี่
ลมหายใจอ่อนโยน
ดวงตามีรอยยิ้ม
เราพึงมาใช้ชีวิตเช่นนี้กันเถิด
ใต้ร่มอโศก
สารอโศก "สู่ทางเกวียนสายเก่า" ฉบับที่ 6 ปีที่4(7) กุมภาพันธ์
2527
นิราศศีรษะอโศก
บนเส้นทางเริ่มต้นค้นความหมาย
ชีวิตคือการต่อสู้รู้ใจกาย
มิยอมพ่ายโชคชะตามาบงการ
เรามั่นใจในทางนี้ที่พ่ออยู่
พ่อคือครู พารู้ ทำ นำประสาน
กอปรประโยชน์ทั้งตน-ท่าน ในการงาน
ให้เชี่ยวชาญให้ผัสสะ ลดละตน
ถึงปากช่องรถหยุดที่จุดหนึ่ง
เป็นที่ซึ่งรวมโลกย์โศกสับสน
ท่ามไฟแจ้งแสงในใจกลับมืดมน
สำนึกล้นพ่อพามาห่างไกล
เรามิเคยเดินทางมาอย่างนี้
ความมืดที่แฝงตัวมัวหลับใหล
แต่กลับมีแสงสว่างกระจ่างใจ
เพราะพ่อให้แสงธรรมมานำทาง
อรุณรุ่งตะวันฉายที่ปลายฟ้า
ประกายทองแจ่มจ้าแผ่ไกลกว้าง
ดุจนิมิตว่าแสงธรรมที่เลือนราง
จะโอภาสส่องสว่างในกาลต่อไป
ที่มาถึงนี้หรือคือ ศี ร ษ ะ อ โ ศ ก
ประดับโลก ณ ป่าช้า กระแชงใหญ่
ถิ่นอีสาน ศรีสะเกษจะเกรียงไกร
เพราะพระไตรสรณังมาหยั่งลง
กลับคืนแล้วแก้วทั้งสาม ยามทุกข์เข็ญ
จะดับร้อนจะผ่อนเย็นเช่นประสงค์
ด้วยพ่อพา มาเดินทางอย่างบรรจง
สู่ทางตรง อริยมรรคพากเพียรไป
เห็นศาลามองไปมิใช่วัด
แต่พ่อหัดให้เป็นพระละเขวไขว
มาปลุกเสกมาแต่งธรรมย้ำหัวใจ
จะดีให้สมเป็นลูกปลูกฝังมา
พื้นที่กว้างมีทางตัดเดินลัดเลาะ
เถาวัลย์เกาะเกี่ยวพันไม้ในแนวป่า
แต่ชีวิตอย่างเถาวัลย์ไม่ฉันทา
เรามีค่าเพราะเป็นคนพึ่งตนเอง
ต้นไม้ใหญ่ให้คำพูดหยุดอ่านคิด
หัดพินิจสอนใจตรองให้เก่ง
ป่าช้าเก่าเคล้าครวญล้วนบทเพลง
กล่อมบรรเลงสัจธรรมโน้มนำพา
ที่ตรึงใจงามที่สุดเราหยุดจ้อง
มองแล้วมองซาบซึ้งใจในวัดป่า
"วิมานพรหม" ที่ใครใครก็ต้องมา
มอบกายาไร้ลมปราณเผาผลาญไป
กิจวัตรขัดเกลาตนเริ่มตีสาม
เสียงปลุกตามบอกเตือนเป็นเงื่อนไข
ถึงเวลาพากเพียรเพ่งเร่งเร็วไว
ช้าอยู่ไยกับมัจจุราชที่อาจอง
พ่อท่านเทศน์ทำวัตรเช้าเราย้อนถาม
เราทำตามสักแค่ไหนใจพิศวง
รำลึกคุณพ่อดึงลากจากรกพง
เถิดจะคงเพียรตามพ่อไม่ท้อเลย
บิณฑบาตหกโมงเช้าเราตามพระ
ไม่เลยละสำรวมใจให้รู้เฉย
ภาพชาวบ้านมาตักบาตรมิคาดเลย
ไขเฉลยบ่งชี้ธรรมย้ำที่ใจ
พระโปรดสัตว์ด้วยเมตตามหาศาล
สอนพื้นฐานว่าชีวิตต้องรับ-ให้
ศิลปะอันติมะลุ่มลึกนัย
พระศาสดามอบไว้ให้เดินตาม
จะขันแข่งแย่งชิงอยู่ไยเล่า
เมื่อตายเน่าสมบัติใดจะแบกหาม
เกิดเป็นคนต้องเสียสละด้วยใจงาม
คนยากจนล้นหลามเขายังรอ
ธรรมก่อนฉันพระท่านเล่าเราเรียนรู้
สัจจะครูมีแต่ให้ไม่ต้องขอ
เราเหมือนเด็กหัดใหม่รู้ไม่พอ
แต่ไม่ท้อจะพยายามทำตามไป
ตรองให้ดีมีปัญญาอย่าเลือนหลง
แล้วประจงทำให้งามตามเงื่อนไข
พินิจดู รู้สังเกต เหตุปัจจัย
ทุกสิ่งไซร้พ่อสอนมากล้ายืนยัน
มีทางเดียวเท่านั้นคือทางนี้
ชีวิตที่กระซิบให้มิใช่ฝัน
เป็นความจริงเจิดจ้าค่าอนันต์
จงเชื่อมั่นเถิดหนาแล้วมาดู
ทันสมัยใช้กะลามาใส่ข้าว
กินมื้อเดียวเดินเท้าเปล่าเราก่อกู้
งดเนื้อสัตว์หัดจิตใจให้เป็นครู
ใบไม้ปูเป็นพื้นนอนสอนตัวเรา
มากินน้อย ใช้น้อยค่อยค่อยหัด
ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ผิดศีล ไม่หมิ่นเขา
กริยาท่าทีล้วนควรขัดเกลา
งานหนักเบา ไม่เกียจคร้านสานสามัคคี
ใต้ร่มไม้พระท่านมานั่งไข
ตอบแจ้งใจในประเด็นอย่างถ้วนถี่
ดับสงสัยให้ญาติโยมชื่นซึ้งดี
ปลุกให้มีจิตวิญญาณหาญในธรรม
ธรรมภาคบ่ายญาติทั้งหลายร่วมรายล้อม
พ่อไม่ยอมปล่อยเวลามาเน้นย้ำ
จะมีใครอีกเล่าเฝ้าหนุนนำ
เป็นลูกดีต้องเพียรทำในทันที
ในภาคค่ำธรรมอีกครั้งหยั่งใจลึก
ปลูกสำนึกสมปลุกเสกอย่างเต็มปรี่
ธรรมฤทธิ์เจ็ดวันเจ็ดราตรี
ลูกคนนี้ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ
เราเกิดแล้วในทางธรรมขอย้ำบอก
และจะออกเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ
จะเติบโตเพื่อก้าวไปสู่ชัยชาญ
ร่วมประสานร้อยรับกองทัพธรรม
เบญจมาภรณ์ เจือประเสริฐ
๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
ปลุกเสกครั้งที่ 8 (16-22-ก.พ. 2527)
ที่ละแล้ว และ กำลังละ
อยู่เป็นสุข ใจสบาย คลายความทุกข์
ไม่เจ่าจุก มีปัญหา พาหม่นหมอง
เกิด "อโศก" เพราะพฤติ เข้าครรลอง
ย้อนมามอง ที่เลิกมา มันน่างง
เลิกเหล้ายา บุหรี่สา- มิตสิบสี่
การพนัน ตัวที่ พาลุ่มหลง
เลิกดูหนัง เที่ยวกลางคืน ได้ยืนยง
ทั้งมิตรชั่ว ก็คง ปล่อยเขาไป
ทำศีลห้า ไม่ฆ่าสัตว์ วิรัติดับ
ไม่ลักทรัพย์ ผิดเมียเขา เราเว้นให้
ทั้งพูดเท็จ ส่อเสียด เบียดเบียนใคร
ทั้งหยาบคาย เราก็ไม่ ใคร่พูดจา
หันหน้ามา เลิกกิน พวกเนื้อสัตว์
เป็นมังส- วิรัติ แล้วนี่หนา
เราวุ่นวาย มานานแล้ว โอ้แก้วตา
ฉันขอลา สิ่งชั่วร้าย หมายศีลธรรม
เสน่ห์ สืบไท
โรงเรียนวังน้ำเย็นวิทยาคม
ปิดปากไว้ไม่พูดจา ดีกว่า นินทาเพื่อนบ้าน
อยู่คนเดียวอย่างสงบ ดีกว่า คบคนพาล
คอยตักเตือนตัวเอง ดีกว่า เพ่งโทสคนอื่น
ทำความดีแล้วดัง ดีกว่า ถูกชังเพราะความชั่ว
ร.ร.บ้านสบปราบ
ปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๘
- หัตถ์แห่งกองทัพธรรม
โอบอุ้มยื่นไปสว่างนวลตา
ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้นเถิด
อย่ามัวซบเซาซึมเศร้า
ลุกขึ้นเถิด เจ้าเม็ดทรายแห่งท้องทะเล
ลุกขึ้นเถิด เจ้าฝุ่นธุลีแห่งจักรวาล
ด้วยอุ้งหัตถ์แห่งเรา
เราจะชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งมวล
จงมอบหัวใจ มอบจิตวิญญาณ
ด้วยความศรัทธา
ศรัทธาที่จะเรียนรู้จุดบกพร่องในตน
ศรัทธาที่จะล้างบาปเคราะห์ในตัว
ออกไป...ออกให้หมดสิ้น
มาเถิด ผู้เลือกวิถีชีวิตตามเรา...รอด !
ผู้หันหลังให้เรา...ตาย!
นี่มิใช่คำขู่ขวัญ
แต่คือคำสัตย์สาบานแห่งสัจธรรม
ใต้ร่มอโศก
สารอโศก "ปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ" ครั้งที่ 8 ฉบับที่7 ปีที่4(7)
มีนาคม 2527
หน้า ๒๗
เม็ดทราย หน้า | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|