page: 8/12

สารบัญ

ตักบาตร, อธิษฐาน, ชาติหน้า, ชู้รัก, ทาน [1] |

ผู้บรรลุอรหันต์คนแรก [2] |

คู่รัก, รักแล้วหย่า, ทำความดี, เกิดไม่ทุกข์, เพศหญิงชาย [3] |

สมาธิ, ความกังวล [4] |

ลูกสะใภ้กับแม่สามี, ถูกด่า [5] |

กรวดน้ำ, สวดมนต์อธิษฐาน [6] |

กลัวความตาย [7] |

หญิงจะบวชยังไง, ศาลพระภูมิ, พรหมลิขิต, สวรรค์ นรก ผี [8] |

ตกนรก [9] |

ทำใจให้สงบ, สนใจศาสนา [10]

มรรคผล [11]

ไม่เกิดอีก, บวชชี, วิธีหลุดพ้น [12]

ชีวิตนี้มีปัญหา... โพธิรักษ์    

ถาม[8] คำถามจาก คุณหลาน เสาวนีย์ ๑๙/๓ ตรอกวัดสามง่าม ปทุมวัน พระนคร

๑. ผู้หญิงถ้าไม่กลุ้มเรื่องยังสาวจะได้ไหม ถ้าจะบวช บวชกันยังไง ชีมีหลายอย่างไหมคะ เห็นเขาว่าเป็นชีไม่มีเงิน ลำบากจริงหรือเปล่าคะ เป็นชีมีสอบหรือเปล่า ?

ในข้อ ๑ ของคุณ นี่ก็มีข้อถามอยู่มากกรณีด้วยกัน กรณีแรกที่ว่า ผู้หญิงถ้าไม่กลุ้ม เรื่องยังสาวจะได้ไหม? ก็ต้องตอบว่า ได้ซี ไม่เห็นจะต้องไปกลุ้มทำไม กับเรายังสาว ดีเสียอีก ที่เรายังไม่ต้องเสียสาว เกิดมา ถ้าละเว้นเรื่องที่ว่าจะต้อง ลนลานหาคู่ ละเว้นเรื่องจะต้องดิ้นรนเสพเมถุน หรือพูดง่ายๆ ละขาดจากการ ร่วมรสทางเพศได้ละก็ ผู้นั้นเป็นผู้มีบุญ มาแต่กำเนิดทีเดียว ถือว่าได้สร้างสมบารมีจิต ในเรื่องละกามตัณหา ข้อใหญ่มาได้อย่างดีแล้ว เป็นมหากุศลของผู้นั้น ทุกข์ใหญ่หลวง ได้หมดสิ้นไปแล้ว เปลาะหนึ่ง อย่างไม่ต้องมาใช้ความพากเพียร ประหารกันอีกในชาตินี้ และถ้าใครอยากหมดทุกข์ ก็จงเพียรพยายาม เลิกละขาดให้ได้เถิด อารมณ์ทางเพศนี้ แม้นละได้ขาดแล้ว ท่านจะรู้สึกได้พ้นทุกข์จริงๆ โลกสว่างไสว ทุกข์ต่างๆ เบาลงไปถนัดใจจริงๆ ดังนั้น ท่านผู้ใดที่มีอารมณ์ทางเพศ หรือทางกามน้อย ก็จงภูมิใจเสียเถิด ว่าท่านมีกุศลสร้างมาดีแล้ว อย่าไปลงโทษตัวเองอีก ด้วยการไปพอกกามารมณ์ สะสมอารมณ์ มาใส่ตัวเองใหม่เสียล่ะ

กรณีต่อไป ที่ว่าจะบวชนั้น ก็บวชได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงเขาไม่ถือว่า มีบวชกันได้แล้วเดี๋ยวนี้ และบวชกันยังไง คุณก็คงจะได้รู้ได้เห็นอยู่แล้ว เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ แต่ว่าการบวช ในเมืองไทยทุกวันนี้ มีข้อที่มันเพี้ยนๆ พลาดๆ ที่ข้าพเจ้าใคร่จะกล่าวไว้ด้วยสักนิด ก็คือ การบวชของคนไทยทุกวันนี้ บวชด้วยความไม่เข้าใจกันเลย จึงทำให้ศาสนาก็พลอยผิดๆ เพี้ยนๆ ไปด้วย จุดหมายแท้จริงของศาสนา ก็พลอยเลือนรางไป ตามการบวชนั้น ที่จริงผู้ที่จะบวช จะต้องเรียนรู้ให้ถ่องแท้เสียก่อนว่า ที่เราสละเพศจากฆราวาสเพศไปนั้น เพื่อจะเปลี่ยนไปเป็นเพศบรรพชิต เพศที่มุ่งนิพพานเท่านั้น

ดังนั้น การบวชจึงมิใช่เป็นการเข้าไปลอง หรือเข้าไปแกล้งทำ หรือหลบเข้าไปอาศัยอยู่ เพื่ออะไรอื่น ที่ไม่ใช่นิพพาน ไม่ใช่เลย ถ้าลงถึงบวชละก็ หมายความว่าเกิดใหม่ เป็นอีกคนหนึ่งทีเดียว เมื่อบวชแล้ว กิจของผู้บวช ก็มีอย่างเดียวด้วย คือ เรียน และปฏิบัติตน ให้บรรลุอรหัตผลให้ได้ เมื่อบรรลุแล้ว กิจของผู้บวชก็เสร็จสิ้น จบลง กิจต่อไปก็คือ เผยแพร่ความรู้ แก่ผู้ที่ยังไม่รู้ ยังไม่แจ้ง ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว คือ ผู้แจ้งแล้วอย่างถูกต้อง จึงเป็นผู้ที่สั่งสอน ผู้ที่ยังไม่รู้ให้รู้ตามได้อย่างถูกต้องด้วย ไม่ผิดทำนองคลองธรรม ไม่เดินออกนอกทาง สายวิถีของศาสนาๆ ก็ไม่คด ไม่โค้ง ไม่ผิด

ส่วนผู้ต้องการลิ้มรสพระธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องบวช รับเอาศีลเอาวินัย และข้อธรรมของพระพุทธองค์ มาปฏิบัติดูก่อนได้ ในเพศฆราวาสนี่แหละ ไม่เสียหาย ไม่ผิดด้วย และไม่มีข้อห้าม ข้อหวงใดๆ จะลองปฏิบัติอย่างง่าย หรืออย่างยากขนาดไหน ก็ได้ทั้งสิ้น ประโยชน์ก็ย่อมได้กับ ผู้ลองปฏิบัตินั่นเอง ไม่ไปไหน อยากได้มาช่วยตน ให้อยู่ในเพศฆราวาส อย่างดีเจริญขึ้นๆ ก็ย่อมได้ก็เป็น “โลกุตรธรรม” เดินทางคืบคลาน ไปสู่นิพพานได้ด้วย ถ้าใครปฏิบัติถูกต้องจน “เกิด” ถึงมรรคถึงผลจริง นี่ก็คือ “ตัวบวช” ที่เป็นสัจธรรมจริงแล้ว

แต่ถ้าใครได้แต่งเครื่องแบบนักบวชแล้ว ทว่าไม่เจตนาศึกษาปฏิบัติ เพื่อนิพพานจริง นั่นแหละ เป็นผู้ได้บาป บาปมาก บาปน้อย ตามกรรมที่ทำอยู่จริง

นอกจากพยายามเพื่อ “โลกุตรธรรม” จริงเท่านั้น แม้ผู้นั้น จะยังไม่ได้เป็น พระอริยะ แต่มุ่งหมาย พากเพียรอยู่จริง ก็ไม่มีบาป มันจริงที่ใจ และเจตนา มุ่งหมายมั่นหมาย อุตสาหะจริงหรือไม่ ของผู้นั้นๆ

แต่ถ้าผู้ใดไปแต่งเครื่องแบบ นักบวชแล้ว ทว่าพยายามศึกษา ปฏิบัติตนเพื่อ “โลกธรรม” เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอยู่ นั่นต่างหากคือไม่ใช่ผู้ “บวช” จริง และกลับได้บาป ได้นรก เพราะแฝงตน ปลอมตัวอยู่ เพราะทุจริตต่อ “เพศบรรพชิต” หรือทุจริตต่อการ “บวช” ของศาสนาพุทธแท้ๆ มันก็เหมือน ชาวโลกธรรมดา ที่ไม่รู้จัก “พุทธศาสนา” ไม่เข้าใจทิศทางบวช คือ “โลกุตรธรรม”

ยิ่งไปแต่งเครื่องแบบนักบวชพุทธ ก็ยิ่งบาปมาก เพราะมันกลายเป็น “คนลวงโลก” คือมีรูปแบบ เป็นผู้หมายสูงแล้ว เรียกว่า “โลกุตรธรรม” ซึ่งใครๆ เขาก็เคารพ และให้การอุปัฏฐาก อุปถัมภ์อนุเคราะห์แล้ว ได้สิทธิพิเศษ หลายอย่างแล้ว แต่ความเป็นจริง ผู้นั้นกลับไม่จริง จึงเป็น “ความลวง” ยังเป็นผู้หมายต่ำ เช่นเดียวกับ คนเพศต่ำ (หินเพศ) อยู่ เหมือนชาวโลกีย์ธรรมดาๆ ที่เพียงแอ๊คท่า ไปตามกฎกำหนดเท่านั้น ยิ่งซ้ำร้าย กลับเป็นการฉวยโอกาส อาศัยรูปแบบฐานะ การแอ๊คท่าเล่นละคร ไปตามกฎตามพิธี ที่กำหนดนั้นๆ ก็ยิ่งกลายเป็น “ลวง” ซับซ้อน ทำให้คน ผู้ไม่รู้เท่าตายใจ ส่วนตนก็ยิ่งเสริมพิธีที่ให้ได้ “โลกียลาภ”เพิ่มยิ่งๆ ขึ้น จึงยิ่งบาปมาก เพราะคนผู้นั้นจริงๆ แล้ว ก็ยังมุ่งหมายต่ำ ปรารถนาสิ่งต่ำ เหมือนปุถุชนที่เรียกว่า “โลกียธรรม” ซึ่งน่าเสียดาย ที่ยิ่งบวชยิ่งบาป

แต่ถ้าจะบวชสละเพศจากฆราวาส เปลี่ยนรูปแบบไปละก็ ต้องเป็นผู้สละโลกีย์กันจริงๆ เมื่อบวชแล้วก็คือ ผู้ที่จะต้องพากเพียร บรรลุสุดยอดแห่ง “โลกุตรธรรม” ให้ได้

ดังนั้น การบวชๆ สึกๆ ทำเล่นๆ เป็นลิเกละคร จึงผิดอย่างยิ่ง ถ้าลงผ่านพิธีบวชแล้ว ไม่ควรจะสึกเลย ไม่ว่าในภาวะอย่างไร นอกจากผิดวินัยต้องทัณฑ์ จนต้องถูกจับสึก หรือจิตได้แปรเปลี่ยน ออกนอกลู่นอกทาง ของโลกุตรมรรคแล้ว อย่างจะทำให้ศาสนาเสื่อม เพราะจะกลายเป็น ตนทำบาปอยู่จริง ดังอธิบายมาแล้ว

ดังนั้น ผู้จะบวชจึงต้องสังวรให้มาก เรียนรู้ให้พอเสียก่อน เพราะบวชคือ เกิดใหม่ในภพใหม่ นั่นทีเดียว มีจุดหมายปลายทาง มุ่งสู่อรหันตภูมิเป็นที่สุด เป็นคนอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่คนเก่า เป็นคนที่อยู่ในภพ ที่สูงกว่าโลกียภพ หรือภพของมนุษย์ปุถุชน ด้วยเหตุนี้ ปุถุชนจึงต้องกราบไหว้ ผู้เป็นพระ แม้จะเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะผู้เป็นพ่อแม่นั้นถือว่า เป็นผู้อยู่ในภพปุถุชน อยู่ในภพโลกีย์ ภพที่ต่ำกว่า ก็ต้องกราบไหว้ลูก ผู้บวชแล้ว คือ ผู้ได้เกิดใหม่ และขึ้นไปอยู่ในภพใหม่แล้ว เป็นภพที่สูงกว่า เป็นคนใหม่ที่สูง ซึ่งปุถุชนคนโลกีย์ ควรกราบไหว้

ถ้าใครขึ้นไปแล้ว ไม่ช้าไม่นานก็กลับลงมา กลับสึกออกมา เป็นปุถุชน คนโลกีย์อีก ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้ต่ำลงมา สู่เพศต่ำ (หินเพศ) เปลี่ยนภพใหม่อีก มาเกิดใหม่อีก ในภพที่ต่ำกว่า ก็แสดงว่าตัวเองชั่วลง จึงได้เกิดใหม่ ในภพที่ต่ำลง ทุกวันนี้ แทบจะไม่ได้คิดกัน ในแง่นี้ เพราะประเพณ ีอันไม่เข้าใจ ทำให้ถูกพาไปกันง่ายๆ จึงเกิดการบวชๆ สึกๆ หมดความศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องลูบคลำเล่น เมื่อไหร่ก็ได้ (ปรามาส) และถ้าบวชๆ สึกๆ ดังกล่าวนี้แล้วไซร้ ก็เหมือนทำอะไรเป็นของเล่น ทำอะไรก็ไม่จริง เรียกว่าเป็น “คนกลับกลอก” ซึ่งเป็นภาษามนุษย์ (และเป็นคำที่หมายถึง ความไม่ดีด้วย)

ในภพผู้บริสุทธิ์ คือ โลกของพระ จึงไม่ควรให้มีคนชนิดนี้ ต้องพยายามคัดเลือกออก อย่าให้แปดเปื้อน ภพบริสุทธิ์เปล่าๆ เป็นเวรเป็นกรรม แต่เพราะเหตุ “คน” คิดง่ายๆ คิดเพียงว่า โลกของพระเป็นโลกสูง อันคนควรได้ผ่าน คนอยู่ต่ำ แม้จะไม่ได้ไปสิงสู่ อยู่ที่สูงเลย ก็ขอเพียงได้ไปเที่ยว ไปผ่านก็ยังดี เพื่อหวังว่า โลกนั้นจะชุบคน ให้สูงไปด้วย แต่ไม่คิดถึงว่า คนผู้นั้นไม่บริสุทธิ์ จึงนำความไม่บริสุทธิ์ ขึ้นไปแปดเปื้อน โลกสูงนั้น “โลกสูงนั้น จึงได้ต่ำลงๆ” ด้วยเหตุดังนี้

ดังนั้น ผู้บวชได้วยวิธีนั้น แทนที่จะได้ “บุญ” กลับได้ “บาป” มาแทน เพราะไปฉุดให้โลกสูงนั้น ต่ำลงมา และเพราะตนเอง ไปปฏิบัติไม่ถูก ปฏิบัติผิดๆ ในโลกนั้น ซึ่งเป็นการก่อบาป ให้ตนเอง โดยตรงอยู่แล้ว ซ้ำทำลายศาสนา อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกด้วย

ได้กล่าวแล้วว่า พระธรรมเป็นของสาธารณะ ใครใคร่จะลองชิม ก็นำมาเรียน มาปฏิบัติได้ทันที ไม่จำเป็นต้อง ไปผ่านพิธีบวช ลองดูก่อนให้เข้าใจ ให้ถ่องแท้ เพราะพระธรรมเป็นของแท้ และเป็นของสูง ไม่ใช่ของเล่น และไม่ใช่ของต่ำ ซึ่งเราจะทำอย่างไรก็ได้ คือจะนำมาปฏิบัติ มาลองชิม ในฆราวาสเพศนี้ได้ พระธรรมจะไม่เสื่อมเลย แต่พระธรรมจะกลับชุบคน ให้สูงขึ้นด้วย พระธรรมแท้มั่นคง ไม่แปรปรวน ไม่เอนเอียง อะไรจะทำให้พระธรรมแท้ๆ เสื่อมไม่ได้ แต่พระธรรมแท้ ชุบคนได้จริงๆ จากคนต่ำให้สูง

ส่วนคนใดเมื่อสูงจริงๆ แล้ว ทีนี้จะรั้งยังไง คนนั้นก็ไม่อยู่ ก็ต้องขึ้นไปอยู่โลกสูงเอง ขึ้นแน่ๆ แม้จะยังอยู่ใน ฆราวาสเพศ แต่เขาก็เป็นคนสูง เป็นคนสูงที่ยังยอมทน อยู่กับโลกต่ำ ซึ่งก็จะไม่ทำให้โลกต่ำ แปดเปื้อน หรือไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร กับโลกต่ำนั้นเลย

ดังนั้นการบวชของใครๆ ก็ดี ควรจะสังวรให้ดี อย่าคิดว่าประเพณี คือสิ่งถูกเสมอไป เชื่อตามกันมา ไม่ใช่จะถูกได้อย่างแน่นอน เมื่อไม่แน่ใจว่าบวช จะได้บุญ ก็อย่าบวชเลย มันบาปหลายชั้น ดังกล่าวแล้ว ยิ่งผู้บวช เพื่ออาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ อาศัยรูปแบบ ได้เปรียบผู้อื่นโดยไม่มีภูมิรู้ความจริง ยิ่งบาป เป็นนรก อาจจะยังไม่เห็นกับตาในชาตินี้ แต่ก็เป็นการสะสม “หนี้” ไว้แล้วจริง

กรณีต่อไปของหลานเสาวณีย์ที่ถามมา ก็เป็นเรื่องของ “ชี” ชีก็มีอย่างเดียว คือ ผู้รับอุโบสถศีล เป็นข้อวัตร สำหรับปฏิบัติ หรือผู้ถือศีล ๘ นั่นเอง จะโกนหัวนุ่งขาว หรือไม่โกนหัวนุ่งขาว ก็มีค่าเท่ากัน ถ้าปฏิบัติศีลให้จริงๆ คงเรียกว่า อุบาสิกา คือ ๑ ในพุทธบริษัท ๔ คือ ผู้ยังไม่ใช่นักบวช แม้จะเป็นผู้ชาย จะปฏิบัติอย่างชีก็ได้ คือ ถือศีลจริง ก็เรียกผู้นั้นว่าอุบาสก ถ้าทำได้ ทำโดยแท้ อย่างตั้งใจจริง กุศลก็เป็นของผู้ปฏิบัตินั่นแล เป็นชีก็ทำงานได้ ทำสัมมาอาชีวะของผู้นั้น ที่จะได้เงินได้ทองมา ถ้าชีคนไหนไม่ทำงาน ก็ต้องมีคนคอยส่งเสีย ถ้าผู้ส่งเสียก็ไม่มี งานก็ไม่ทำ ก็ต้องไม่มีเงินแน่ และลำบากแน่ด้วย

การโกนหัวนุ่งห่มขาวก็ดีอย่าง คือประกาศให้คนทั้งหลายได้รู้ว่า ผู้นั้นเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เป็นผู้ตั้งใจจะปฏิบัติ ให้ได้มาซึ่งธรรม ดังนั้น ถ้าใครพอจะอนุเคราะห์สิ่งใดได้ ก็จะได้อนุเคราะห์ แต่ถ้าไปนุ่งขาวห่มขาว ประกาศตนให้คนเข้าใจผิด คือแทนที่จะเป็นผู้ตั้งใจ ปฏิบัติธรรม กลับกลายเป็น ไปนุ่งขาวโกนหัว เพื่ออาศัยสภาพนี้ไปในทางอื่น ละก็ ผิดแน่ๆ และก็บาปแน่ๆ ลวงคนอีกด้วย นัยเดียวกันกับพระ ที่เข้าพิธีบวชแต่ไม่จริง ดังได้อธิบายมาแล้ว

ชีสมัครสอบนักธรรมก็ได้ คนธรรมดาสมัครสอบก็ได้ แต่จะสอบไป เพื่อประโยชน์อะไรกัน ธรรมะไม่ใช่เรียนเพื่อ สอบเอาใบบัตรใบเบ่ง แต่เรียนธรรมะ เพื่อให้ธรรมะ สอบตัวผู้เรียน คือให้ฟอก ให้ชำระ ให้ตรวจสอบตัวผู้เรียน ให้ดีขึ้นต่างหาก ให้นำธรรมะ มาเป็นเครื่องสอบตัวผู้เรียน จึงจะถูก ถ้าเรียนแล้วไม่เอาธรรมะ มาสอบตัวเองเลย ก็ไร้ความรู้จริง ไม่อาจรู้แจ้งความจริง ที่มีที่เป็นจริง หรือไม่มีไม่เป็นจริง ของตนๆ ดังนั้น ถ้าใครเรียนธรรมะ หวังเพื่อสอบเอาวุฒิ เอายศ เอาชั้น โดยไม่ได้เอาธรรมะ มาฟอกมาสอบตัวเองละก็ พึงทราบไว้เลยว่า ผู้นั้นก็คือ คนธรรมดาๆ ที่ไม่รู้เรื่องการศึกษาธรรมะเลย แม้แต่นิดเดียว แม้จะมีใบบอก แจ้งเป็นตราประกาศว่า ได้นักธรรมเอก ได้เปรียญ กี่ประโยคก็ตาม ซ้ำมีแต่จะเอาใบบัตรนั้น ไปแลกโลกธรรม หรือเอา “ความรู้จำ” เหล่านั้นไปผกผัน หากินเสริมต่อ แลก “โลกียธรรม” เลี้ยงชีวิตไป ทำให้ปนเปสับสน ซับซ้อนกลบเกลื่อน สัจธรรมยิ่งๆ ขึ้น ดังที่เป็นจริงมีจริง อยู่ในสังคม

๒. ศาลพระภูมิตั้งกันอย่างไร ประวัติศาลพระภูมิเป็นมายังไง ไหว้แล้วดียังไง ?

ศาลพระภูมิ ตั้งกันโดยถือว่า มีผู้มีความรู้ความสามารถ ด้านวิญญาณเพียงพอ เป็นผู้จัดตั้ง ซึ่งต่างคนก็ต่างมีพิธีการ ไปกันคนละแบบของตัว ซึ่งรวมความ ก็จุดมุ่งอันเดียวกัน คือสร้างที่พัก ให้แก่สิ่งที่เชื่อกันว่า เป็นดวงวิญญาณของผู้ปกป้องคุ้มครอง บริเวณสถานที่นั้นๆ รายละเอียดของพิธีการ คงจะเล่าหมดไม่ได้ บางพิธี ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบละเอียดด้วย

ส่วนจะดียังไงนั้น ก็เชื่อกันว่า แล้วแต่ดวงวิญญาณ ที่เป็นพระภูมินั้นๆ ถ้าดวงวิญญาณใด มีความเก่งหน่อย ก็อาจจะคุ้มครองช่วยเหลือ ผู้ปรนนิบัติ หรือผู้เคารพกราบไหว้ ได้มากหน่อย แต่ถ้าวิญญาณใดไม่ดี ก็จะให้โทษ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ขอแนะนำ ให้ตั้งศาลพระภูมิ ถ้าจะตั้งศาลพระภูมิ ก็ควรจะสร้างห้องพระ หรือโต๊ะพระ หรือแม้หิ้งพระ ไว้สำหรับกราบไหว้บูชา และปรนนิบัติจะดีกว่า การกราบไหว้ ก็บริสุทธิ์ สูงด้วยศรัทธามากกว่า การปรนนิบัติ ก็ง่ายกว่าปรนนิบัติ ศาลพระภูมิมาก

ที่จริงเรื่องของพระภูมิมันคนละเรื่องกับ ศาสนาพุทธ และความจริงคือ การกระทำของคน “ผู้ไม่รู้แจ้ง” ในวิญญาณจริง นั่นต่างหาก เพราะยังไม่เข้าถึง ความเป็นพุทธแท้เพียงพอ จึงยังหลง ในเทวนิยมอยู่

พุทธศาสนาเท่านั้น ที่จะนำพาให้ได้รู้ ได้สัมผัสวิญญาณจริง ซึ่งเป็น “อนัตตา” แท้ๆ นอกนั้นจะยังเป็น “วิญญาณ” ที่เป็น “อัตตา” อยู่ทั้งสิ้นทุกลัทธิ แม้แต่ลัทธิที่เห็นว่า “ตายแล้วสูญ” ลัทธิที่ไม่มีมรรค ๘ ล้าง “อัตตา” ได้จนสิ้นเกลี้ยงจริง

ประวัติศาลพระภูมิ หรือประวัติพระภูมินั้น ข้าพเจ้าก็ขอลอกของ ธ.เฟื่องประภัสสร์ ที่รวมอยู่ในหนังสือ “ลัทธิธรรมเนียม พิธีมงคลของไทย” มาให้ท่านได้อ่านดู พอรู้เรื่องราว ที่มีเล่าไว้ดังนี้

“เมื่อปลูกบ้านเสร็จแล้ว ก่อนที่จะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ จะต้องมีพิธี ยกศาลพระภูมิเสียก่อน ด้วยถือว่า เจ้าที่เจ้าทาง จะได้คุ้มครองป้องกันภัย ให้ความสุขสบาย แก่เจ้าของบ้าน ซึ่งอาศัยอยู่ในที่ของท่าน พิธีนี้เริ่มด้วย หาศาลพระภูมิที่เหมาะ ที่สวยงามมา ๑ และเจว็ด ๑ อัน เจว็ดนั้นคือ รูปพระภูมิเจ้าที่นั่นเอง มือขวาถือพระขรรค์ มือซ้ายถือสมุด แต่เดี๋ยวนี้นิยมทำ มือซ้ายถือถุงเงินแทน

พระภูมิเจ้าที่ตามประวัติเดิมว่า ชื่อพระยาพาลี บิดาทรงนามว่า ทศราช พระมารดาทรงนามว่า สันทาทุกข์ ครอบครัวกรุงพาลี มีโอรส ๙ พระองค์ จึงให้แบ่งแยกกันออกไป รักษาที่ต่างๆ คือ

๑. พระชัยมงคล ไปรักษาเคหสถานร้านโรงต่างๆ
๒. พระนครราช ไปรักษาค่ายประตูและบันได
๓. พระคนธรรพ์ ไปรักษาเรือนหอบ่าวสาว และโรงพิธีแต่งงานต่างๆ
๔. พระเทวไตร หรือ พระเทเพนไปรักษาคอกสัตว์ต่างๆ
๕. พระชัยสพ ไปรักษายุ้งข้าว เสบียงคลังต่างๆ
๖. พระธรรมโหรา ไปรักษาที่นา ทุ่งลานและป่าเขา
๗. พระธรรมิกราช ไปรักษาสวนผลไม้และพืชผักต่างๆ
๘. พระวัยทัต ไปรักษาอารามวิหารและปูชนียสถานต่างๆ
๙. พระทาษธารา ไปรักษาห้วยหนอง คลอง คู บึง และแม่น้ำ

อนึ่ง พระภูมิยังมีบริวารอีก ๓ คน ชื่อ นายจันทร์ทิศ นายจันทร์ดี นายจ่าสบพระเชิงเรือนฉะนั้น จึงเรียกกันเป็นชื่อต่างๆ ว่าพระภูมิบ้าน พระภูมินา พระภูมิสวน พระภูมิโรงควาย เป็นต้น แต่บัดนี้ ใช้พระภูมิทั่วไป โดยมิได้กำหนดเจาะจง

เมื่อเตรียมศาลและเจว็ดแล้ว จึงเตรียมเครื่องกระยาบวด มีหัวหมูบายศรีปากชาม มะพร้าวอ่อน กล้วย น้ำ ขนมต้มขาว ต้มแดง แล้วเชิญโหรมาทำพิธียก โหรจะนุ่งขาว ห่มขาว เจ้าภาพจะต้องหา ผ้าคู่ไว้ให้โหร ๑ คู่ ตามธรรมเนียม ศาลพระภูมิที่จะยกขึ้นนั้น กำหนดให้สูงเพียงตา หรือเลยตาขึ้นไป และให้ตั้งในทิศอีสาน บูรพา อาคเนย์ จะตั้งในทิศอื่น นอกจากทิศที่กล่าวนี้ไม่ควรเลย หากหาไม่ได้จริงๆ ก็จำเป็น และควรเลือกดู แต่สถานที่สะอาด อย่าให้สกปรกหรือชื้นแฉะ หรืออยู่ใกล้ครัวใกล้ส้วม ใกล้ที่ขยะ สถานที่เหล่านี้ ท่านว่าตั้งแล้วไม่เจริญ

อนึ่ง ห้ามมิให้เงาศาลทับเรือน หรือเงาเรือนทับศาล เป็นอันขาด เมื่อตั้งเสร็จแล้ว โหรจะได้กล่าวพิธี อัญเชิญพระภูมิเจ้าที่ ขึ้นอยู่บนศาล โดยนำรูปเจว็ดเข้าไว้ภายใน แล้วทำพิธีเจิมศาล มีตัวละครช้างปั้น ม้าปั้น ประดับ ถือว่าเป็นข้าทาสบริวาส เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว เจ้าของบ้านก็บูชาทุกคืน พอครบปีหนึ่ง ก็บูชาด้วยเครื่องเซ่น สัก ๑ ครั้ง หรือถ้ามีการทำบุญในบ้าน ก็มีเครื่องสังเวยพระภูมิด้วย ทุกๆ ครั้งไป

พระภูมิมีหน้าที่รักษาบ้านเรือนเคหสถาน และไร่นาเรือกสวน มาแต่โบราณสมัย ตามคัมภีร์พรหมจุติ ท่านกล่าวประวัติเดิม ของพระภูมิว่า เมื่อพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลก ได้ทรงขอที่ จากพระภูมิ ๓ ก้าว แต่โดยอภินิหาร ของพุทธองค์ พระองค์ทรงย่างเหยียบ แต่เพียง ๒ ก้าว ก็ถึงขอบจักรวาล พระภูมิจึงต้องออไปอยู่ นอกเขตจักรวาล คราวนี้เกิดอดอยาก ในเครื่องสังเวย จึงมากราบทูล ขอที่คืน พระพุทธเจ้าทรงกรุณา ประทานอนุญาตให้ จัดที่เป็นศาลพระภูมิไว้ ตามบ้านเรือนได้ ด้วยเหตุนี้ ศาลพระภูมิ จึงปรากฏอยู่ตามบ้าน ตลอดจนทุกวันนี้”

คำเล่าอันหลังนี้ ยิ่งเป็นเรื่องส่อถึงลัทธิของพราหมณ์โดยตรง ดังนั้น คำว่าพระพุทธเจ้า ทรงขอที่จากพระภูมินั้น เป็นเรื่องจงฟังกันไว้เฉยๆ อย่าไปคิดยังโง้นยังงี้ เพราะเพียงคำว่า พระพุทธเจ้า ขอสมบัติที่เป็นวัตถุ นี่ก็ฟังยากเสียแล้ว

ดังนั้น ก็จงให้รู้เถิดว่า เรื่องของศาลพระภูมินั้น ไม่ใช่เรื่องของ พระพุทธศาสนา แต่ผู้แต่งเรื่อง สร้างเรื่องพัวพันขึ้นมา ให้น่านับถือ โดยเอาผู้ที่เราเทิดทูนเคารพ ไปเกี่ยวพันไว้ด้วย จึงพึงสังวรไว้ให้มาก เรื่องเล่าอื่นๆ ก็มีทำนองนี้อยู่มาก ต้องคิดก่อน อย่าด่วนเชื่อ เป็นตุเป็นตะเอาง่ายๆ ดังนั้นเรื่องพระภูมินี้ จึงไม่ควรจะไปวุ่นวาย อะไรมากนัก ยังมีคาถาต่างๆ ที่ใช้บูชาพระภูมิบ้าง ถวายเครื่องสังเวย พระภูมิบ้าง คำลาเครื่องสังเวยพระภูมิบ้าง และอื่นๆ อีกมากหลาย ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ ที่จะให้ใครผูกพันมากนัก จึงไม่เขียนลงไว้ในที่นี้

๓. ท่านพระพรหมที่โรงแรมเอราวัณ ใช่พระพรหมลิขิตชีวิตคนหรือเปล่าคะ ถ้าจะไหว้ ไหว้ยังไง ต้องสวดมนต์ไหมคะ ถ้าจะสวดสวดยังไง และเล่าประวัติ ท่านพระพรหมด้วยค่ะ ?

ท่านพระพรหม (รูปปั้น) ที่โรงแรมเอราวัณนั้น ไม่ใช่พระพรหมที่ ลิขิตชีวิตคนหรอก รูปปั้นนั้น เป็นรูปปั้นแบบพรหม สมมุติว่าพรหม ตามคติของคนไทย แต่ถ้าจะเชื่อว่า พระพรหมลิขิตชีวิตคนละก็ ต้องนับถือ ศาสนาพราหมณ์ ถ้านับถือศาสนาพุทธ สิ่งที่ลิขิตชีวิตคนก็คือ ตัวเราเองลิขิต หรือ กรรมของตัวเราเอง ลิขิตตัวเรา หรือพูดให้ชัดๆ ก็ว่า เรากระทำอย่างใดลงไป ก็ย่อมจะได้รับผล ของการกระทำนั้น เป็นของเรา ถ้ากระทำความไม่ดี เราก็ต้องเป็นคนชั่ว เรากระทำความดี เราก็เป็นคนดี

ถ้าจะไหว้รูปพระพรหมนั้น ก็ไหว้แบบธรรมดานี่แหละ จะสวดมนต์ก็ได้ ถ้าคุณมีบทสวดมนต์นั้นๆ ส่วนจะสวดอย่างไรนั้นให้ดี คุณอยากได้บทสวดจริงๆ ละก็ ไปติดต่อกับพราหมณาจารย์ ที่โบสถ์พราหมณ์ ข้าพเจ้าเองไม่มี

ประวัติท่านพระพรหมนั้น ยืดยาวมาก เป็นคติของพราหมณ์ ถือเป็นเทพเจ้าผู้ใหญ่องค์หนึ่ง ในจำนวนผู้ใหญ่ ๓ องคือวิษณุเทพ ศิวเทพ และพรหม ถือพระพรหมเป็นเทพ ผู้เป็นกลาง คือ ไกล่เกลี่ย มีจิตใจเมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา เนื่องด้วยเทพอีก ๒ องค์ คือ ศิวเทพ เป็นผู้สร้าง ผู้ก่อ วิษณุเทพ เป็นผู้ปราบ แต่เมื่อเทพทั้ง ๓ นี้รวมกันครบ ก็เรียกว่า ตรีมูรติ ทุกสิ่งทุกอย่าง บริบูรณ์พร้อมถึงซึ่งนิรวาน

ส่วนพระพรหมที่อยู่ในโรงแรมเอราวัณนั้น คงจะไม่ใช่พระพรหม องค์ที่กล่าวถึงนี้แน่ นัยว่าก็คือ พระภูมิเจ้าที่ ของโรงแรมเอราวัณนั่นเอง เพราะเมืองไทยขณะนี้ การตั้งศาลพระภูมิ นิยมกันอีกคติหนึ่ง คือทางพิธีพรหมศาสตร์ คติพรหมศาสตร์นี้ พระภูมิบ้าน มิใช่องค์พระชัยมงคลองค์เดียว แต่จะเป็นวิญญาณ หรือดวงจิตของ ท่านผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้ บางทีก็เชิญวิญญาณนั้นๆ มาเป็นพระภูมิ บางทีก็ขอจาก เทพผู้ใหญ่เบื้องสูง ให้ประทานวิญญาณผู้นั้นผู้นี้ มาให้เลยก็ได้ เพราะผู้ที่เป็นคณาจารย์ ทางพรหมศาสตร์นั้น เขาเชื่อกันว่า สามารถติดต่อกับวิญญาณใดๆ ก็ได้ ทั้งวิญญาณธรรมดา ตลอดจนถึง วิญญาณของเทพ และพรหม และแล้วก็จะตั้ง ศาลพระภูมินั้นๆ ตามพิธีการแบบพรหมศาสตร์ รายละเอียด ก็ยืดยาวมาก ข้าพเจ้าเขียนลงไปไม่ไหวแน่ วันนี้เอากันแค่นี้ก่อน ที่จริงข้าพเจ้าเล่น หรือไปหลงเรียนเรื่องนี้ มาแยะพอควรทีเดียว แต่ไม่ประสงค์ จะให้เสียเวลา มุ่นมัวกันมาก

๔. สวรรค์ นรก มีจริงไหมคะ ผีมีจริงหรือเปล่า ?

สวรรค์ นรก มีจริง ผีก็มีจริงด้วย แต่ผู้ที่เรียนพุทธศาสนาแล้ว ต้องเข้าใจคำว่า สมมุติบัญญัติให้ถูก หรือ ให้ดี ดังนั้น คำว่าสวรรค์ก็ดี นรกก็ดี ผีก็ดี เป็นชื่อตั้งขึ้น เรียกสภาพหรือสภาวะ เรียกภูมิภูมิหนึ่ง เรียกสัตว์อีกจำพวกหนึ่ง สิ่งอันใดที่พระพุทธองค์ ได้ตรัสออกมาแล้ว สิ่งนั้นเป็นจริง มีจริง เป็นของแท้ เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง ไม่แปรปรวน ขอให้เชื่อดังนี้คร่าวๆ ก่อน แต่จะให้คุณเชื่อจริงๆ เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ หรือผีอะไรนั่น คุณก็ต้องศึกษาให้มาก และปฏิบัติจนเกิด จนเป็น จนมีสภาพนั้นๆ ภูมินั้นๆ จริงแล้วค่อยเชื่อ ฟังปุ๊บเชื่อปั๊บ พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงสอน

คนเราที่ไม่เชื่อว่า สวรรค์ นรก และผี มีจริง ก็เพราะว่า คนผู้นั้นหลงตน คิดว่า ขึ้นชื่อว่าคนต้องเก่ง ตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐ สามารถเห็น สามารถรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่แท้จริง แม้การเห็น คนก็ยังเห็น สู้สัตว์บางจำพวกก็ไม่ได้ ตาของสัตว์บางจำพวก สามารถรับภาพ ที่มนุษย์ไม่สามารถรับได้ หูของสัตว์บางจำพวก สามารถรับเสียง ที่มนุษย์ไม่สามารถรับได้ จมูกของสัตว์บางจำพวก ก็เก่งกว่าคนเช่นกัน

ดังนั้น คนอย่าเพิ่งทะนงตนว่าเก่ง สิ่งที่ตาไม่สามารถเห็นได้ ในทุกโอกาส ไม่ใช่ว่า สิ่งที่ไม่ได้เห็นนั้นไม่มี เพราะฉะนั้น ผู้ที่สามารถสร้างตา หรือสร้างประสาทสัมผัส การรู้แจ้งในรูป อรูป ให้เป็นตาทิพย์ได้ หรือ เรียกว่า สร้างประสาทสัมผัสให้เก่ง มีความสามารถเพิ่มขึ้น จากปกติคนธรรมดา จึงสามารถเห็น ได้พิเศษกว่าคนธรรมดา ผู้ที่สามารถสร้างหูของตน หรือประสาทสัมผัสทางหู ให้เป็นทิพย์ได้ จึงสามารถได้ยิน พิเศษกว่าคนธรรมดา ผู้นั้นจึงเห็นสิ่งที่เรียกว่า นรกได้ เห็นสิ่งที่เรียกว่า สวรรค์ได้ และเห็นสิ่งที่เรียกว่า ผี ได้ ข้อสำคัญ ต้องเรียนรู้ “พุทธศาสตร์” ให้เป็น “สัมมาทิฐิ”

เอาละ วันนี้ตอบคุณหลานเสาวณีย์ได้คนเดียว ที่จริงจะเล่าเรื่องนรก สวรรค์ หรือผี กันได้อีก ยาวยืดเช่นกัน แต่ว่าหน้ากระดาษ เขามีให้จำนวนจำกัดเท่านี้ และอีกอย่าง ถ้าเล่าเรื่องนรก สวรรค์ หรือผีแบบนอกพุทธ เป็น “มิจฉาทิฐิ” ก็ไม่ใช่เรื่องน่าใส่ใจ อะไรมากนัก เรียนรู้ธรรมะ ความแท้จริง ของพระพุทธองค์ ดีกว่าล้านเท่า เมื่อเรียนแล้ว เรื่อง นรก สวรรค์ ผี อะไรพวกนี้ จะรู้เองไม่สงสัยเลย และจะรู้ อย่างกระจ่างแจ้ง ดีเสียด้วย


  ชีวิตนี้มีปัญหา
 
page: 8/12
   Asoke Network Thailand

อ่านต่อ หน้า 9