ชีวิตนี้มีปัญหา... โพธิรักษ์
ถาม[12] คำถามจาก :คุณน้อย พระนคร ๘๑๖/๔
ซ.ร่วมมิตร ถนนจันทน์ ยานนาวา พระนคร
ดิฉันไม่เคยอ่านหนังสือ ดาราภาพ มาก่อน วันนี้ช่างโชคดีเหลือเกินค่ะ
หลานชายมาที่บ้าน และถือหนังสือดาราภาพมาด้วย บังเอิญเป็นฉบับปีที่
๑๓ ฉบับที่ ๔ (ดาราภาพ ๑๔) ซึ่งเป็นฉบับที่คุณเปิดคอลัมน์ ชีวิตนี้มีปัญหา
พอดี เมื่ออ่านจบคอลัมน์ของคุณแล้ว ดิฉันรู้สึกดีใจมากค่ะ มาสะดุดอยู่ที่ปัญหาข้อที่
๕ ซึ่งเป็นปัญหาข้อสุดท้าย มีความว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่มีโรค
คำตอบของคุณบรรยายไว้ว่า ถ้าใครอยากจะสิ้นสุด อยากจะเป็นผู้ไม่มีโรคเลย
ก็ต้องหาทางหยุดการเกิด จึงจะหยุดการแก่ จึงจะหยุดการเจ็บ และจะหยุดแม้กระทั่งการตาย
นั่นคือ นิพพาน
ปัญหานี้เกิดขึ้นกับดิฉันมานานพอสมควรแล้วค่ะ แต่ดิฉันไม่ทราบว่าจะไปถามผู้ใด
จึงขอถามว่า
๑. ดิฉันเคยได้ยินคนพูดกันว่า (ผู้ชาย)
ถ้าไม่อยากเกิดอีกก็ไปบวช เป็นพระภิกษุตลอดชีวิต เมื่อมรณภาพแล้วก็จะไม่เกิดอีก
ข้อนี้ถูกต้องไหมคะ หรืออย่างไร โปรดอธิบายให้เข้าใจด้วยค่ะ
?
ในปัญหาข้อนี้ถามมาดีมาก แม้บางคนอ่านแล้วจะเข้าใจคำตอบได้ทันทีก็ตาม
แต่ก็น่าจะได้รู้ละเอียด เพราะเป็นเรื่องที่น่ารู้ให้แจ่มกระจ่าง
ถ้าทุกคนมีทางที่จะแก้ไขปรับปรุงช่วยกันคนละไม้คนละมือ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปโดยถูกต้อง
ก็จะได้ทำ
ก่อนอื่นขอชี้แจงเป็นลำดับขั้น ขอเอาตั้งแต่คำว่า พระ ไปเลย
อย่าเพิ่งเอาคำว่า ภิกษุ มาใส่ เพราะคนทั่วไปพอเอ่ยคำว่า พระ
ก็เข้าใจได้ทันทีว่าหมายถึง พระภิกษุ นั่นเอง แต่ที่จริงคำว่า
พระ คือภาษาเรียกกำหนดตำแหน่งที่ยกขึ้นไว้ ซึ่งเรียก พระภูมิ
พระยา พระเจ้าแผ่นดิน พระธรณี พระคชสาร (ช้าง) พระถ้วย พระชาม
พระอะไรต่ออะไรเยอะแยะก็ได้อีกมากมาย ข้าพเจ้าจะไม่ขอกล่าวในความหมายเหล่านั้น
จะขอกล่าวแต่ความหมายของตำแหน่ง พระ แท้ๆ ที่เราชาวพุทธศาสนิกชนควรจะรู้
คือในคำว่า พระ นั้น ส่วนมากคนจะเล็งไปถึง พระภิกษุ หรือ
สมณเพศ หรือคนผู้บวชแล้วถือเพศบรรพชิต เรียกว่า พระ เรียกนามทั่วไปก็ว่า
พระสงฆ์ หรือ พระภิกษุ หรือ สมณเพศ
พระ คำนี้เรียกคนผู้ เกิดใหม่ ถ้าโดยสมมุติจาก ชาติเก่า
คือ ชาติคนธรรมดา หรือเรียกว่า เพศฆราวาส เกิดเป็นเพศสมณะ หรือเพศบรรพชิตโดยเปลี่ยนรูปแบบฐานะสมมุติตามกฎเกณฑ์
จึงมีชื่อเรียกนำหน้าใหม่ว่า พระ ที่จริงยังไม่ได้เป็น พระ
จริงๆ เป็นเพียง พระ สมมุติเท่านั้น เพราะได้กล่าวแล้วว่า
เกิดใหม่โดยสมมุติ โดยใช้พิธีการทางระเบียบโลกๆ เข้าประกอบ
เข้าสร้างสรรให้เป็น พระ ขึ้นมา
และถ้าผู้ที่รู้ดีเข้าใจดีว่าเรายังไม่ได้เป็น พระ แท้ (หมายถึงเจ้าตัวผู้ผ่านพิธีบวชแล้วนั้น)
ยังไม่ได้ เกิดใหม่ จริงๆ ทางจิตวิญญาณ ผู้นั้นก็ย่อมจะเพียรพยามปฏิบัติธรรม
คือทำตนให้ เกิดทางวิญญาณ ให้ได้เป็น พระ จริงๆ ให้ได้ เพราะเท่าที่ทำพิธีบวชมา
หรือแปลงเพศมาแล้วโดยใช้เครื่องหมายจำเพาะ คือโกนหัว ไม่รักสวยรักงาม
นุ่มห่มก็ด้วยผ้าพันกาย สีสันก็ไม่พิถีพิถันอะไร สีย้อมเปลือกไม้หรือย้อมน้ำฝาด
เป็นการประกาศให้ชนทั่วไปรู้ให้หมู่สงฆ์รับว่า ข้าพเจ้าคือผู้กำลังจะเป็น
พระ หรือเป็น พระ แล้วตามรูปแบบเท่านั้น แต่แม้ยังไม่ได้เป็นพระ
แท้ๆ ชนทั่วไปก็เข้าใจไปพลางๆ ก่อนว่าเป็น พระ เคารพกราบไหว้
และบูชาโดยอนุโลมไปล่วงหน้าก่อน และพร้อมๆ กันนั้น ประชาชนก็สงเคราะห์ผู้กำลังจะเป็น
พระ นี้ไป ประหนึ่งเป็น พระ แล้วด้วย จะสงเคราะห์ด้วยความเป็นอยู่อันต้องสงเคราะห์ใดๆ
ก็ตาม หรือสงเคราะห์ด้วยปัจจัยใดๆ ท่านผู้เคยสงเคราะห์พระ ก็คงจะทราบดีอยู่แล้ว
แล้วผู้ที่กำลังจะเป็น พระ ก็ เป็นอยู่ ได้โดยถือ วัตร
หรือ ถือการเป็นอยู่ประจำเพื่อเพียรปฏิบัติธรรมให้ เกิดใหม่
จริงๆ เกิดเป็น พระ จริงๆ ให้ได้ ถ้า เกิดจริงๆ ยังไม่ได้ตราบใด
ก็ยังเป็น พระ สมมุติอยู่นั่นเอง
ส่วน พระ จริงๆ ที่ว่านั้นก็คือ พระอริยบุคคล เกิดจาก บุคคลธรรมดา
เป็น อริยบุคคล เกิดจากทางจิตวิญญาณ ดังนั้นถ้าผู้บวชแล้วคือแปลงเพศตามพิธีมนุษย์แล้ว
ท่านใดยังไม่บรรลุ หรือ เกิดใหม่ เป็น พระอริยบุคคล ก็ยังถือเป็น
พระ สมมุติอยู่นั่นแล้ว ไม่ได้เป็น พระ จริงๆ พระแท้ๆ สักที
คือไม่ได้ เกิด สักทีนั่นเอง
การเกิดอย่างนี้ไม่ได้เรียกขานว่า เกิด เล่นๆ เป็นการเกิดจริงๆ
เกิดที่จิต จิตนั้นเกิด เพียงไม่ได้เปลี่ยนร่างเท่านั้น แต่เป็นการเกิดอยู่ในจิต
เป็นการผุดเกิด เกิดทันทีทันใด ผู้เกิดแล้วเป็นคนใหม่ มีจิตลักษณะใหม่สู่ภูมิสู่ภพใหม่จริงๆ
ตามที่ตามนุษย์เห็นก็เป็นคนเก่า แต่ตามความเป็นจริง เป็นคนใหม่
เป็น พระ คือต้องเรียกว่า พระอริยะ การ เกิด ในลักษณะนี้พระพุทธองค์ท่านตรัสเรียกลักษณะการเกิดอย่างนี้ว่า
โอปปาติกกำเนิด หรือ โอปปาติกโยนิ คือเกิดโดยอาศัยกรรมเป็นการเกิด
คือเกิดโดยอาศัยการกระทำ การปฏิบัตินี้เองจนบรรลุธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งเกิดใหม่เป็น
พระ แท้ๆ เกิดในร่างเดิมนี้ อยู่อย่างนี้ เกิดทันที อยู่ในร่างนี้ทันที
อยู่ในสภาพนี้ทันที (หรือผู้ทำกรรมชั่วจิตวิญญาณก็เกิดเป็นสัตว์นรกได้ในร่างนี้ทันทีเช่นกัน)
ดังนั้น ผู้ใด บุคคลใด เกิดใหม่ ดังนี้ (ดังที่อธิบายมาแต่ต้น)
ก็เรียกว่า พระ ทั้งนั้น ยิ่งผู้ที่ได้โกนหัว ห่มจีวรแล้ว
เกิด ก็เรียกว่า ผู้นั้นเป็น พระ จริงแล้วทั้งสองส่วน ทั้งรูปนาม
และถ้าบุคคลธรรมดาในร่างของฆราวาสนี่เอง ผู้ใดที่ได้พากเพียรปฏิบัติธรรมจน
เกิดใหม่ ได้เช่นกัน ก็เรียกบุคคลผู้นั้นว่า พระ เหมือนกันเป็น
พระอริยบุคคล ในร่างของฆราวาส เป็น พระ แท้ๆ องค์หนึ่ง ควรบูชา
ควรเคารพกราบไหว้เช่นกัน เท่าเทียมผู้ที่ห่มจีวร โกนหัวแล้ว
ที่ได้เกิดเป็น พระ จริงๆ แล้วเช่นกัน และเรียกว่า พระ ได้อย่างไม่น่ากระดากตรงใดเลย
จะใช้ลักษณะนามเรียกท่านว่า องค์ ก็ได้ เพราะท่านเป็น พระ
แท้ๆ ดูแต่คนที่เกิดมาในร่างมนุษย์ที่มีตำแหน่ง พระองค์เจ้า
หรือ หม่อมเจ้า เราก็ยังเรียกขานท่านเป็น องค์ ได้ นี่ก็เช่นกัน
ท่านอยู่ในร่างมนุษย์ หรือคนธรรมดา แต่จิตของท่านเป็น พระ
แล้ว เพราะถ้าเป็น พระโสดาบัน ก็เรียกท่านผู้นั้นว่าเป็น พระโสดาบัน
ถ้าเป็น พระสกิทาคามี ก็เรียกท่านด้วยนามนั้น และในขณะเดียวกัน
ท่านก็เป็นฆราวาส หรือคนธรรมดาโดยสมมุติ เพราะท่านอยู่ในร่างคนธรรมดาอย่างคนทั้งหลาย
ไม่มีเครื่องหมายภายนอกบอกแจ้งชัดเจนให้รู้ได้ ผู้จะรู้ได้ คือ
ผู้มีปัญญาเท่านั้น
ดังนั้น คนธรรมดาผู้บรรลุธรรม หรือได้เกิดใหม่แล้วคนนั้น จึงเป็น
พระ จริงๆ แต่เป็น ฆราวาส โดยสมมุติ เพราะฉะนั้น พระ โดยสมมุติ
คือ ผู้ห่มจีวร โกนหัว ที่ยังไม่บรรลุธรรม คือ ยังไม่เกิดจริงๆสิควรต้องเคารพนับถือ
พระ จริง คือ พระอริยบุคคล แต่เป็น ฆราวาส โดยสมมุตินั้น
แต่โดยระเบียบรูปแบบการนบไหว้ ก็คงจะต้องให้ฆราวาสนบไหว้ พระโดยรูปโดยระเบียบอยู่นั่นเอง
ความจริงความสำคัญที่เคารพนับถือจริงย่อมมีจริง ที่ผู้รู้จริงเห็นจริงแน่
นี่คือ พระ จริงๆ พระ แท้ๆ ดังนั้นคำว่า พระ จึงหมายถึงผู้ได้ผ่านพิธีบรรพชามาแล้วก็ได้
หรือผู้ที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีบรรพชา คือ ยังไม่ได้โกนหัว ห่มจีวร
ยังเป็นฆราวาสอยู่ในร่างคนธรรมดานี้ก็ได้ เป็น พระ จริงๆ ด้วยความจริงตามเนื้อแท้
ดังนี้
อธิบายมาถึงขั้นนี้คิดว่า คุณ น้อย พระนคร คงจะพอเข้าใจได้ว่า
คำว่า พระ นั้น ย่อมหมายถึงผู้ชายก็ได้ ผู้หญิงก็ได้ เด็กก็ได้
ผู้ใหญ่ก็ได้ ผู้ใดปฏิบัติธรรม จนบรรลุเป็น พระอริยบุคคล ก็เป็น
พระ แท้ๆ ได้
ทีนี้ในข้อสงสัยที่ว่า จะไม่เกิดอีก ถ้าจะให้ ไม่เกิดอีก
ละก็ ต้องเป็น พระอรหันต์ ให้ได้ ถึงจะไม่เกิดอีก แม้จะเป็น
พระ จริงๆ ตามที่ข้าพเจ้าได้อธิบายมาแล้วก็ตาม พระ ก็ยังมีอีกตั้งหลายชั้น
และ พระ ดังที่ว่านี้ มีในศาสนาพุทธเท่านั้น ศาสนาอื่นใดจะไม่มี
พระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า สมณะ หรือ พระ ที่ เกิด ดังที่อธิบายมาแล้วนี้
จะ เกิด ได้ มี ได้ในศาสนาพุทธเท่านั้น มีทั้งหมด ๔ ขั้น
คือ
พระโสดาบัน
พระสกทาคามี หรือ พระสกิทาคามี
พระอนาคามี
พระอรหันต์
นี่แหละคือ พระ ที่อยู่ในโลกุตรภูมิ ผู้จะมี นิพพาน
เป็นที่สุดทั้งนั้น และถ้าเป็นพระขั้นที่ ๑ มรณภาพแล้วก็ต้องมาเกิดอีก
ยังไม่ปรินิพพาน ทว่าเกิดอีกอย่างมาก ๗ ชาติ แต่ถ้ามีความพากเพียรมาก
เพียรปฏิบัติธรรมมาก ก็อาจจะไม่ถึง ๗ ชาติ อาจจะน้อยกว่านั้น
หรืออีกเพียงชาติเดียวก็ได้ นิพพาน พระขั้น ๒ นั้นจะกลับมาเกิดอีกชาติเดียวก็นิพพาน
ส่วนพระขั้น ๓ นั้น จะไม่ตกต่ำไปเกิดเป็นทุกข์ในโลกกามอีกแล้ว
จะปรินิพพานเป็นที่สุดไปตามวิบาก
พระอรหันต์ก็คือผู้ นิพพาน แล้ว พูดถึง นิพพาน มีคนอีกมากแปลคำ
นิพพาน ว่า ตาย หรือเข้าใจความหมายเอาว่า นิพพาน ไม่ได้หมายความว่า
ตาย ถ้าใช้คำว่า ตายอย่างพระอรหันต์ตาย คือ พระอรหันต์ดับขันธ์
ละก็ จะต้องใช้คำว่า
.. ปรินิพพาน คือ ดับไม่เหลือ หรือ
ดับหมดสิ้นไม่มีอะไรเหลือ แม้แต่ชีวิต จะใช้คำ นิพพาน เฉยๆ
แล้วหมายความว่า พระอรหันต์ตาย นั้นยังไม่ได้ เพราะว่าพระอรหันต์ที่บรรลุนิพพานแล้ว
หรือบรรลุอรหัตผลแล้ว ท่านยังไม่หมดลมหายใจขันธธาตุของท่านยังไม่ดับ
ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ทว่าท่านถึง นิพพาน แล้ว นิพพาน
หมายความว่า ดับกิเลสสิ้นไม่เหลือ หรือ หมดความเร่าร้อนแล้ว
ไม่ใช่หมายถึง ตาย คือไม่มีชีวิตเพียง ความทุกข์ หรือ เหตุแห่งทุกข์
ในตัวท่านเท่านั้นที่ตาย
ถ้าจะเรียกให้ชัดๆ พระอรหันต์ที่ยังเป็นๆ อยู่ก็เรียกว่า ท่าน
สอุปาทิเสสนิพพาน แล้ว และเมื่อท่าน ตายจริงๆ คือ หมดลมหายใจลงจึงจะเรียกว่า
ท่าน อนุปาทิเสสนิพพาน หรือเรียกว่า ปรินิพพาน คือ ดับหมดสิ้น
ไม่มีอะไรเหลือ ทั้งชีวิตทั้งกิเลสและความเกิดอีก
และยังมีคนเข้าใจผิดอยู่อีกว่า คำว่า ปรินิพพาน นั้น เป็นคนใช้เฉพาะพระพุทธองค์ดับสิ้นอนุปาทิเสสนิพพานเท่านั้น
ส่วนพระอรหันต์ธรรมดาใช้คำว่า นิพพาน เฉยๆ จะใช้คำว่า ปรินิพพาน
ไม่ได้ ที่จริงไม่ใช่เช่นนั้น คำว่า ปริ หมายความว่า
รอบ หรือ ครบ หรือ ถ้วนทั่ว นิพพาน หมายความว่า
ดับ หรือ เย็น ในความหมายของธรรมะก็คือ ดับกิเลส เท่านั้น
หรือ กิเลสตาย นั่นเอง ยังไม่ได้หมายไปถึงชีวิต ตาย ถ้า
ดับหมดสิ้น ทั้งชีวิตด้วย คือ ปรินิพพาน จึงจะหมายถึง
ตาย ครบทั้ง ๒ ส่วน หรือจะเรียกยาวๆ ว่า อนุปาทิเสสนิพพาน
ก็ได้ จึงจะหมายถึง ตาย คือ ตายหมดทั้งกิเลสทั้งชีวิตจริงๆ
เพราะฉะนั้น จะไม่เกิดอีก ก็ต้องปฏิบัติให้ได้ดังที่อธิบายมานี้
ผู้ผ่านพิธีบวชแล้วตามพิธีการของมนุษย์ แต่ยังไม่ได้เป็น พระ
จริงๆ ก็ยังเหมือน ปุถุชน ธรรมดานั่นเอง มรณภาพแล้ว ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างไม่แน่นอนเหมือนกัน
อาจจะไปเกิดในนรกก็ได้ อาจจะไปเกิดในสวรรค์ก็ได้ เช่นปุถุชนธรรมดาเช่นกัน
อย่าเข้าใจผิด เพราะอธิบายแล้วว่าความจริง การ บวช ด้วยรูปแบบพิธีนั้นเป็นเพียง
เกิด อย่างสมมุติเท่านั้น เป็น พระ เพียงเรียกกันเฉยๆ แต่ความจริงแท้
ก็ยังคงเป็น ปุถุชน หรือ คนธรรมดานี่เอง
๒. ดิฉันจะถามว่าหากเป็นผู้หญิงละคะ
จะทำอย่างไร เพราะว่าการบวชชีนั้น ทางพระพุทธศาสนายังมิได้รับว่าเป็นสาวกของพระพุทธองค์ใช่ไหมคะ
?
ถ้าคุณน้อย พระนคร อ่านคำตอบ ข้อ ๑ ละเอียด คิดว่าข้อนี้ก็คงจะเข้าใจได้แล้ว
ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก ผู้ใหญ่ อาจบรรลุ นิพพาน ได้ทั้งนั้น
และจะ บวช หรือไม่บวช ก็ได้เช่นกัน อยู่ที่ตัวเราเอง เราต้องเรียนรู้พระธรรม
เรียนรู้ทางแห่งการปฏิบัติให้ได้มาซึ่งธรรม แล้วก็ลงมือปฏิบัติให้ได้มาซึ่งธรรม
เราก็จะถึงซึ่งนิพพานได้แน่นอน จะบวชเป็นชีก็ได้ หรือไม่บวชก็ได้
ข้อสำคัญอยู่ที่ใจของเรานั่นเอง แต่ถ้ามีสิ่งแวดล้อมส่วนประกอบช่วยเรามากๆ
เราก็ยิ่งมีโอกาสจะบรรลุได้ง่ายเข้าเร็วเข้า เช่นคุณบวชเป็นชีมันก็ดีกว่า
ผู้ชายมาบวชเป็นพระ ก็ดีกว่า จะมีโอกาสกว่า แต่เรื่องบวชเป็น
พระ นั้น ข้าพเจ้าก็ได้เคยออกความเห็นไว้แล้วว่า ถ้าเรายังไม่แน่ใจว่าจะต้องการบวชเพื่ออาศัยสภาพ
พระ เป็นเครื่องช่วยในการปฏิบัติธรรมให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานจริงๆ
ละก็ ก็ไม่ควรบวชด้วยเหตุผลดังเคยกล่าวมาแล้ว
ชี ก็ถือเป็นสาวกของพระพุทธองค์เช่นกัน ถ้าใจเป็นจริงๆ คือมีการเกิดทางจิตวิญญาณได้จริง
ท่านเรียกว่า พุทธบริษัท ซึ่งหมายความว่า หมู่ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนโดยแท้จริง
ท่านแบ่งเป็น ๔ มี ภิกษุ หนึ่ง ภิกษุณี สอง อุบาสก สาม
อุบาสิกา สี่ ถ้าคุณเป็นพุทธศาสนิกชนจริงๆ ปฏิบัติในข้อธรรมของพระพุทธองค์จะมีมรรคผลจริง
คุณก็เป็น อุบาสิกา แท้ๆ ที่เป็น พระจริงๆ แต่ถ้าคุณไม่มีมรรคผลก็เป็นเพียง
อุบาสิกา สมมุติๆ อยู่นั่นเอง
๓. ดิฉันมีความคิดว่าตนเองไม่อยากเกิดอีก
ก็เลยคิดว่า จะไม่แต่งงาน เพราะการแต่งงานคือหาห่วงมาคล้องคอเสียแล้ว
เราจะหลุดพ้นไม่ได้ใช่ไหมคะ หรืออย่างไร โปรดอธิบาย ?
คุณเป็นผู้มีความซาบซึ้งในความจริงแท้ ตามแนวทางของพระพุทธองค์ทรงสอนได้ดีมาก
ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าคุณพยายามใส่ใจในพระธรรม ในการปฏิบัติธรรมให้มาก
คุณจะเป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสบรรลุนิพพานได้ดังประสงค์ การคิดจะไม่อยากเกิดอีก
ก็เป็นการคิดที่ถูกอย่างยิ่ง และการคิดจะไม่แต่งงานก็เป็นการคิดที่ถูกที่สุดอีก
แต่งงานไม่ใช่คือการหาห่วงมาคล้องคออย่างเดียวเท่านั้น ยิ่งการแต่งงานที่เป็นเรื่องของราคะตรงๆ
ก็ยิ่งคือ การสร้าง มาร ขึ้นมาคอยประหัตประหารตัวเองให้ห่างจากการบรรลุนิพพานอย่างแท้จริงด้วย
มาร คือพระยาแห่งความทุกข์ ความทรมาน เป็นผู้คอยชักนำให้คนไปสู่ที่ต่ำเสมอ
ดังนั้นใครไม่แต่งงานได้ ก็คือผู้ไม่คบกับ มาร ไม่สร้างทั้ง
ห่วง แต่ถ้าเราไม่แต่งงาน แล้ว จะอยู่โดยไม่ปฏิบัติธรรม ก็จะไม่แจ้งในความจริงแท้
จะคอยถูก มาร กวน และชักชวนหลอกล่ออยู่เสมอ กิเลสในตัวเราจะยิ่งกักกดจะยิ่งร้าย
เพราะฉะนั้นต้องรีบหาทางศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมแล้วคุณจะบรรลุหลุดพ้นจาก
มาร ได้อย่างแท้จริง นั่นคือ จิตคุณจะผ่องใส สว่างไสวพ้นจากอารมณ์ปุถุชน
คือ อารมณ์ทางเพศ ถ้าไม่เรียนรู้ และปฏิบัติธรรมจริงๆ ให้ถูกทางเจริญธรรมจริงตราบใด
จะพ้นจากอารมณ์นี้เด็ดขาดไม่ได้เป็นแน่แท้ แล้วทุกข์อื่นอันเนื่องมาจากอารมณ์นี้
ก็จะพาลติดตามมาเพิ่มเข้าไปอีกมากมายก่ายกอง
เพราะฉะนั้น เมื่อคุณเองเห็นทางที่ถูกอย่างนี้ได้แล้ว ก็รีบใฝ่ศึกษาธรรม
ปฏิบัติธรรมเสียเถิด คุณจะเป็นสุขนิรันดร์กาล พ้นจากทุกข์ชั่วกัปกัลป์
๔. ถ้าข้อ ๓ เป็นดังที่ดิฉันเข้าใจ
ดิฉันจะปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะได้พบกับนิพพาน?
ข้าพเจ้าเชื่อว่าคุณจะได้ติดตามอ่านข้อเขียนของข้าพเจ้ามาตลอดเวลา
ดังนั้น การปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติตนเพื่อให้ใกล้นิพพานเข้าไปนั้น
ข้าพเจ้าได้แนะนำมาแล้วเป็นลำดับ ถ้าจะเขียนในที่นี้อีกก็จะซ้ำซากมากไป
เพราะธรรมดา ข้าพเจ้าก็ได้เขียนซ้ำๆ วกๆ วนๆ อยู่แล้วเพื่อจะเน้น
จะแยกแยะให้ละเอียดลออ เข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ายังไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร
ก็เขียนไปถามข้าพเจ้าใหม่ แล้วเรามาเริ่มต้นกัน แต่ถ้าคุณได้เริ่มต้นไปแล้ว
มีอะไรข้องใจสงสัย อยากทราบอะไรเพิ่มเติม ก็ถามข้าพเจ้าไป แต่ข้อสำคัญคุณต้องปฏิบัติ
คุณต้องลงมือทำจริงๆ คุณจะเพิกเฉยผัดผ่อนแม้สักวินาทีก็ไม่ได้
ควรทำทุกวินาที
พระพุทธองค์ตรัสสอนแม้ก่อนปรินิพพานว่า อย่าพึงอยู่ในความประมาท
ดังนั้น จะผัดผ่อน แม้แต่วินาที หรือ เราจะประมาทว่า ไม่เป็นไรน่า
ไม่ทำตอนนี้ หรือปล่อยให้เรา ทำไม่ดีนิดหน่อยนี่ไปก่อนช่างมัน
คงไม่เป็นไรหรอก แล้วค่อยปฏิบัติชอบ โอกาสหน้าเอาใหม่ ถ้าคิดอย่างนี้ก็คือ ยังอยู่ในความประมาท
ไม่ได้ปฏิบัติตรงตามคำสอน ของพระพุทธองค์ ย่อมตกต่ำ เป็นธรรมดาแน่ๆ
|