คำถาม
ท้ายเล่ม
ถาม
: คำว่า "โพธิสัตว์" ในที่นี้ พ่อท่านหมายถึงว่า
ท่านผู้นั้น จะกลับมา เพื่อช่วยโลก แทนที่จะเลือก เพื่อที่จะ
"ดับสูญ" ใช่หรือไม่?
ตอบ : ใช่.. เพราะท่าน "อยู่เหนือโลก" เหนือธรรมชาติ ของการเวียนเกิด -เวียนตายแล้ว
ไม่มีอำนาจไหน เหนือตัวท่านแล้ว ในเรื่อง "ท่านจะเวียน อยู่ในวัฏฏสงสาร"
ท่านกำหนดได้เอง ท่านจะเวียนมา "เกิดอีก" หรือตัดสินใจ จะ"ดับสูญ"
ไม่เวียนมาเกิด อีกเลยก็ได้ ตัวเองมีอำนาจเหนือ "การเวียนเกิด -เวียนตายของตน
สมบูรณ์" จะอยู่หรือจะสูญก็ได้ สำหรับ ผู้มีภูมิ"โลกุตระ" ในระดับ"อรหันต์" อย่างสัมบูรณ์แล้ว
ที่จริงไม่ต้องถึงมิติที่ ๑๐ แค่มิติที่ ๙ ก็สามารถ "จะเวียน
อยู่ในวัฏฏสงสาร" หรือไม่เวียน แต่จะ"ดับสูญ" ไปเลย ก็มีสิทธิ์ทำได้แล้ว
เพราะเมื่อผู้นั้น บรรลุถึงขั้นสุด ความเป็นอรหันต์ ในมิติที่
๙ ก็สามารถ "ปรินิพพาน" ได้ แต่ถ้าท่านยังไม่ "ปรินิพพาน" จะเวียนเกิดอีก
บำเพ็ญต่อ สู่ "พุทธภูมิ" เพื่อบรรลุสูงสุดเป็น พระพุทธเจ้า
จึงชื่อว่า "โพธิสัตวภูมินิยม"
การ "ปรินิพพาน" คือ การดับรอบสิ้นหมด ทุกภพทุกภูมิ ไม่ต่อภพต่อภูมิอะไรอีก
สิ้นความหมุนเวียนสนิท เป็นอันจบสุดนิรันดร์ "หมดสิ้นตัวตน"
ใดๆ สำหรับสภาพที่ชื่อว่า "ตัวตน" ว่า "อัตตา" ว่า "อาตมัน" หรือ
"ปรมาตมัน" ก็ตาม เป็นอัน ไม่มีเหลืออยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอก
มหาจักรวาล จะอยู่ใน หรือ นอกมหาเอกภพ หรืออยู่ ณ ที่ไหน แดนใดอีก อย่างสุดๆ
สัมบูรณ์ (absolute)
ดังนั้น มิติที่ ๑๐ จึงหมายถึง ผู้สมัครใจจะต่อ "พุทธภูมิ"
จริงๆ ท่านยังตั้งจิตมี "ภพ" ต่อไปอีก ยังไม่ยอมจบ ซึ่งก็เป็น
"วิภวภพ" ที่พิเศษเหนือชั้นกว่า ที่จะกล่าวปนกันกับ "วิภวภพ"
ในระดับของ ความรักมิติ ที่ต่ำกว่านี้ลงไป กันแล้ว โดยเฉพาะ ต่ำกว่า
ตั้งแต่.. มิติที่ ๘ ลงไป
เพราะภูมิจิต ของผู้อยู่ในมิติที่ ๘ ยังไม่บริสุทธิ์สูงสุด
ถึงขั้นอรหันต์ ดังนั้น แม้ท่านจะสามารถมี "วิภวภพ" หรือมี "วิภวตัณหา"
ซึ่งเป็น "ตัณหาอุดมการณ์" ก็ตาม ก็ยังมีความกระทบ กับ "ตน"
ที่ยังเหลือประโยชน์ "ตน" อยู่ เพราะจิต "ตน" ยังไม่บรรลุ ถึงขั้นบริสุทธิ์
สะอาด สิ้นเกลี้ยงถาวร ขนาดที่ผู้นั้น "ตนทำเพื่อตน" ก็ ไม่ต้องมีอีกแล้ว
เพราะหมดสิ้นกิเลส ที่ตนเคยมี ที่ "มันเสพ เพื่อตน" (เป็นสุขเป็นรส อัสสาทะ)
นั้น สิ้นสนิทแล้วจริงถาวร แม้เป็น "อุปกิเลส" ก็ไม่มีเหลือ
ดังนั้น ผู้นี้จึงยังไม่เป็น "วิภวตัณหา" ที่พ้น จากการสิ้นประโยชน์
"ตน" อย่างสมบูรณ์ เหมือนภูมิจิตของผู้ ถึงขั้นจบกิจใน มิติที่
๙ ที่ถึงขั้นเป็น อรหันต์สมบูรณ์แล้วขึ้นไป
ด้วยเหตุเช่นนี้เอง "ภูมิจิต" ของผู้อยู่ในมิติที่ ๑๐ หรือผู้จบกิจเป็น
อรหันต์สมบูรณ์แล้ว ในมิติที่ ๙ จึงไม่เหมือนกับ ผู้ยังอยู่แค่ภูมิ
มิติที่ ๘ ที่ยังไม่ถึงขั้นเป็น "อรหันตบุคคล" สมบูรณ์ หรือถึงขั้นเป็น
"อมตชน" ดังกล่าวข้างต้น เพราะยังมี ส่วนของเศษ ธุลีละอองของ
"อวิมุตติจิต" ที่ยังไม่เต็มร้อย แม้จะนับว่า เข้าเขตสอบผ่าน เข้าสู่ภูมิอาริยะแล้ว
ก็ยังไม่สะอาดเท่า ผู้สมบูรณ์เต็มร้อย ด้วยประการฉะนี้ ดังนั้น
หากจะมี "วิภวภพ" หรือเรียกว่า มี "วิภวตัณหา" ซึ่งร่วมภาษา คำเดียวกันก็ตาม
แต่ก็ยังมีความเป็น "วิภวตัณหา" ที่มีค่าแห่งความบริสุทธิ์ หรือมีค่าแห่งคุณภาพ -ค่าแห่งประโยชน์
เพื่อผู้อื่นเต็มร้อยที่ต่างกัน
แต่บางคน ก็อาจจะสงสัยอีกแหละว่า ก็ในเมื่อ "ผู้ยังต้องการจะบำเพ็ญ
ให้ตนได้ สัมมาสัมโพธิญาณ" แล้วจะกล่าวว่า "ไม่เพื่อตัวเพื่อตน"
อย่างไรกัน?
เรื่องนี้ ต้องเพ่งความแม่นคม ในจิตให้ละเอียด สุขุมกันดีๆ
คำว่า "เพื่อตัวเพื่อตน" นั้น มันหมายถึงการ "มีสภาพ 'ตัวเอง'
รับรสเสพ" จึงเป็นการเสพสุข เป็น "รสเมื่อได้สมใจแล้ว ก็มีอารมณ์เกิดสุข -มีความเกิด
'อัสสาทะ' หรือเกิดอะไร ขึ้นที่ใจ" (ในจิตมีอารมณ์ฟูขึ้น เป็นต้น)
แต่ผู้ที่พ้น "ความเกิดแล้ว เพราะได้อะไรสมใจก็ตาม ก็ไม่เกิดกระเพื่อมใจ
ไม่เป็นรสอัสสาทะ" ภายในจิตไม่มี "ความเกิดฟูใจใดๆเลย" มีแต่รู้ความเป็น ความมี
ที่ปรากฏเป็นกรรม เป็นกิริยา เป็นภาวะนั้นๆ ตามที่เกิด ที่เป็นจริง
มีจริงนั้น เช่น ท่านเกิด "ภูมิสัมมาสัมโพธิญาณ ชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้น
ที่ท่าน" ท่านก็เจริญขึ้น ท่านก็เป็นก็มี ในตัวท่าน เพิ่มขึ้นมาจริง
แต่ภายในจิตของท่าน "ไม่มีอาการกระเพื่อมใจเกิด -ไม่มีรสสุข เกิด -ไม่มีความฟูในใจใดๆ
ขึ้นมา แล้วตนก็เสพ" ดังนี้ มีแต่ "ภูมิธรรม" เจริญขึ้นๆ ที่ตัวท่าน
เพราะท่านประพฤติ ท่านพากเพียรทำ ท่านประกอบ "กรรมที่เป็นกุศล
เพื่อประโยชน์ผู้อื่น" อยู่อย่างตั้งใจบากบั่น ผลเจริญมันก็ย่อมเกิด
ย่อมสั่งสมลงไป ที่ตัวท่าน ตามธรรมดา แห่งความจริง ก็เท่านั้น
และที่สำคัญคือ ความเจริญแห่ง "สัมมาสัมโพธิญาณ" หรือ ความเจริญแห่ง
"พุทธภูมิ" ของท่านนั้น แม้เจริญขึ้น ก็ไม่ใช่เพื่อท่านจะเป็น
"ผู้ได้เพื่อตัวเอง" แต่ที่เกิด ที่เป็นขึ้นในตัวท่าน นั้น มัน
"เกิดขึ้นเพื่อ ไปเป็นประโยชน์ แก่ผู้อื่น ยิ่งๆขึ้น" ต่อและต่อๆไป
มิใช่กักเก็บไว้ให้ท่าน เพื่อตัวท่าน เพียงแต่มันอาศัย ตัวท่านเกิดเท่านั้น
ยิ่งเกิดก็ยิ่งเป็นคุณค่า แก่มวลมนุษยชาติ เพิ่มพูนมหาศาลขึ้น
ในโลกต่างหาก ท่านกลับจะต้อง เหนื่อยเพิ่มขึ้น ท่านจะต้องทน อุตสาหะ
จะต้องทำงาน หนักขึ้นมากขึ้น ไม่ใช่เพื่อ ท่านเป็นท่านมี เพื่อตัวท่านได้ชื่นชมว่า
ท่านได้ ท่านสุขเลย แต่เป็นคุณานุคุณ แก่มหาชนในโลก เท่านั้น [พหุชนหิตายะ
พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ]
ถ้าจะว่า ส่วนที่เกิดที่เจริญนั้น เป็นภาวะของ "รูปธรรม" มันย่อมมีเกิด..
มีเป็น ก็จริง แต่ภาวะของ "นามธรรม" ของท่าน มันมิได้มี "ตัวตน"
ใดๆเกิด โดยเฉพาะ มิใช่ "กิเลส" เกิดด้วยเลย "โพธิญาณเกิด ยิ่งเกิด
ก็ยิ่งเพื่อผู้อื่นยิ่งๆขึ้น" จึงไม่ใช่เพื่อตัว เพื่อตนเอง แต่อย่างใด
ถาม
: ผมคิดว่าน่าสนใจที่ ความรักมิติล่างๆ ตั้งแต่ มิติที่ ๑ ไปจนกระทั่งถึง มิติที่
๔ หรือ ๕ ลักษณะของความรัก ที่พ่อท่านพูดถึงนั้น ดูเหมือนว่า จะกว้างออกๆ
ตอบ : ใช่.. กว้างออกๆ
ถาม
: แต่ว่าพอขึ้นไปถึงระดับที่สูงแล้วนี่ ก็กลับเข้ามา สู่ตัวเอง
ตอบ : สู่ตัวเองนั้น มันมีความซับซ้อนอยู่ในตัว สำหรับระดับ
"โลกุตระ" มีทั้งสู่ตัวเอง และในความ สู่ตัวเองนั้น มันเพื่อผู้อื่น
ให้ยิ่งออกไปอีกพร้อมด้วย ส่วน 'โลกียะ' นั้น จะเห็นภาวะ "สู่ตัวเอง"
เป็นแนวระนาบ ซึ่งเหมือนมีมิติเดียว จึงรู้สึกว่า มีการทำสู่ตัวเอง เท่านั้น
แต่ในแนวดิ่ง มันลึกซ้อน วนออกไปจากตน
ถาม
: ที่บอกว่า ในที่สุดก็จะมามุ่งว่า ตัวเองจะอยู่ก็ได้ จะไม่อยู่ก็ได้
ก็เหมือนกับ มาคิดกับตัวเองเท่านั้น
ตอบ : มันลึกซึ้งซับซ้อนอยู่ การลด "ตัวเอง" ของโลกุตระนั้น
เท่ากับ มีผล.. คิดเพื่อผู้อื่น อยู่แล้วในตัว ดังนั้น แม้จะบอกว่า
ในที่สุด ก็มามุ่งที่ตัวเอง อันนี้เป็นปรัชญาสำคัญ ของพุทธทีเดียว
คือ "ทำที่ตนเอง" โดยละลด สิ่งที่จะต้องลด ในตนเองนี่แหละ หรือ
"ทำการเสียสละที่ตนเอง" นี่แหละ แต่จะเพื่อผู้อื่นไปในตัวเสร็จ
และ ถ้าผู้นี้จะมีชีวิต หรือ มีการดำเนินบทบาท อยู่ต่อไปในสังคม
จึงไม่ใช่ การอยู่เพื่อตัวเอง หรือ คิดเพื่อตัวเองเลย แต่คิดเพื่อผู้อื่นอยู่
เพื่อผู้อื่นยิ่งๆขึ้น อย่างแท้จริง และ ประณีตลึกซ้อน เพิ่มขึ้นๆ
ถาม
: คงไม่ใช่เช่นนั้น หมายถึงว่า ในเบื้องแรกนั้น ความรักระหว่าง ผัวเมีย
ผู้หญิงผู้ชาย แล้วก็กว้างออกไป เป็นพ่อแม่ลูก สู่พี่น้อง สู่อะไรต่ออะไรนี่
แล้วตอนหลัง ก็ค่อยๆ เรียวเข้าไป หาตนเอง
ตอบ : อ๋อ..
ไม่ใช่เรียว คงหมายถึงมิติที่ ๘ ที่ ๙ ขึ้นไปกระมัง ที่ดูเหมือนว่า
เรียวเข้าหาตนเอง คือคิดหรือทำ เพื่อตนเองหลุดพ้น หรือ ยิ่งมิติที่
๑๐ ยิ่งเพื่อความได้ สัมมาสัมโพธิญาณของตนเอง
ความจริงแล้ว มันซับซ้อนอย่างที่บอกแล้ว ที่จริงนั้น ผู้ที่มีภูมิ มิติที่
๘ ก็คือ ผู้ที่ได้เรียนรู้ และปฏิบัติ ตามแบบพุทธ ก็จะมีภูมิมิติที่
๑ ถึง มิติที่ ๗ เจริญมาพร้อมในตัว ด้วยแล้วนั่นเอง นี่เป็น
คุณสมบัติของ "โลกุตรภูมิ" โดยเฉพาะ ดังนั้น หากมิติที่ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗
มีการคิด และทำเพื่อผู้อื่น กว้างขึ้นอย่างไร ผู้มีภูมิมิติที่
๘ ก็มีภูมิที่จะต้องกว้าง อย่างนั้น มาให้ครบ ตั้งแต่มิติที่
๑ มาจบครบ ๗ ให้พร้อม มิติที่ ๘ คือ ภูมิโลกุตระ ที่เข้าใจ "ภูมิโลกียะ"
แล้วละ "อัตตาหรืออาตมัน" ที่มีอยู่ในมิติที่ ๑ มาทีเดียว กระทั่งครบทั้ง
๗ มิติ ซึ่งได้แก่ "ความเป็นตัวตน -ของตน" แท้ๆ มันยึดเป็น "ตัวตน-ของตน"
ไปทั้งหมด นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็น "โลกอบายมุข -โลกกาม -โลกธรรม -โลกอาตมัน"
ล้วนหลงยึดเป็น "โอฬาริกอัตตา -มโนมยอัตตา -อรูปอัตตา" ไม่พ้นไปจาก
"อัตตา ๓" นี้เลย หรือกล่าวชัดๆ ก็คือ "ละล้างความเห็นแก่ตัว
ตรงตัวเหตุแท้" นั่นแหละ ละล้างลงไป โดยการฆ่าตัวตนที่ "ตัวการต้นเหตุ"
ชนิด..จับ "อัตตา" หรือ ตัวตนของต้นเหตุนั้นๆ ได้ถูกต้องจริงด้วย
และละล้างอย่าง รู้จักหน้าตา เนื้อตัวของ "ตัวตนของต้นเหตุนั้น"
อย่างจับมั่น คั้นตาย แล้วละล้าง จัดการให้มันดับหาย ไปจากเรา
จนหมดสิ้น ได้จริง ชนิดสัมบูรณ์ ไม่มีการวกเวียน เข้ามาอีกได้ด้วย
จึงเป็นเรื่องที่ต่างกันกับ ลัทธิอื่น ที่ยังไม่มีทฤษฎีล้าง "อัตตา"
หรือล้าง "อาตมัน"
ส่วนมิติที่ ๑ ถึง ๗ นั้น ถ้าไม่ใช่ทฤษฎี "โลกุตระ" แบบพุทธแล้ว
การเรียนรู้ "อัตตา" ก็ไม่ใช่แบบพุทธ จึงมี "อัตตา" ซับซ้อนอยู่ในตน
โดยตนเอง ก็ไม่สามารถรู้ตัวมัน ไม่รู้เท่าทันความฉลาด ลึกซึ้ง ของมันด้วย
และ ลัทธิต่างๆ ส่วนมาก ก็เป็นลัทธิที่.. มี "อัตตาหรืออาตมัน"
และจะยิ่งสร้าง "อัตตา" หรือสร้าง "อาตมัน" ให้ยิ่งให้ใหญ่ยิ่ง
ไม่มีที่จบที่สิ้นด้วย คล้ายๆกับ การสร้างความยิ่งใหญ่ ของลัทธิ
"ทุนนิยม" นั่นเอง
ที่ดูรู้สึกว่า มิติที่ ๑ ถึง ๗ นี่ฟังแล้วเห็นว่า กว้างขึ้นๆ
แต่พอมิติที่ ๘ กลับฟังแล้ว ดูรู้สึกว่า กลับเข้ามาสู่ตัวเอง
นั้นก็เพราะว่า การพูดการอธิบาย มิติที่ ๑-๗ ไม่ได้กล่าวถึง
"อัตตา" หมายความว่า ไม่ได้กล่าวถึง "ตัวตน" หรือตัวเองนัก เพราะไปมุ่งแต่
ให้กว้างออกไปหาผู้อื่น เสียมากกว่า ซึ่งเป็นการพูดแต่ ในแนวระนาบ
หรือให้เห็นการแผ่ ออกไปหาคนอื่น เพื่อให้เห็น "ค่าของความรัก"
ว่าอยู่ที่เพื่อผู้อื่น ยิ่งแผ่กว้าง ก็ยิ่งเป็นมิติที่ยิ่งสูงขึ้นๆ
เลยทำให้ดูเหมือนว่า ไม่มีตัวตน เพราะไม่ได้ พูดถึงตัวตน หรือตัวเอง
อย่างเป็นหลัก เป็นทฤษฎี สำคัญก่อน
แต่ในมิติที่ ๘ ขึ้นไปนั้น จะกล่าวถึง "อัตตา" มาก เพราะจะต้องเรียนรู้
"อัตตา" อันคือ "ตัวตนหรือตัวเอง" ที่ไปติดไปยึด ไปหลงความเป็น
"ตัวตน" หรือ "ตัวเอง" อย่างเป็นด้านหลัก เลยทีเดียว ดังนั้น
พอมาพูดถึง "ตัวตนหรือตัวเอง" เข้า ฟังแล้วจึงดูเหมือน เอาแต่
"ความเจริญ" ของตนเอง ซึ่งไม่ผิดเหมือนกัน เพราะเป็น "ความเจริญของตนเอง"
จริงๆ แต่ฟังเผินๆ แล้ว คล้ายกับว่า "ก่อตัวก่อตน" เพื่อตัวเพื่อตน เหลือเกิน
แต่ "ความเจริญ ของตนเอง" แบบโลกุตระนี้ เป็น "ความเจริญที่ลดตัวลดตน
หรือ ยิ่งไม่เพื่อตัว เพื่อตนเอง ยิ่งๆขึ้นต่างหาก ซึ่งเป็นผล เพื่อผู้อื่นแท้จริง ยิ่งๆขึ้น" อย่างรู้แจ้งเห็นจริงใน "ตัวการหรือต้นเหตุ" ที่มันยิ่งมีความเพื่อตัวเอง
หรือตัวตน ลึกซ้อนยิ่งๆ" (อัตตาหรืออาตมัน) จึงยิ่งเป็น "ความซื่อสัตย์ -
หมดเล่ห์ - หมดความหลงแฝงใดๆ" ทีเดียว
หมายเหตุ
: คำถาม ท้ายเล่ม นี้ เป็นเพียงคำถาม
ข้อท้ายๆ ของ Dr. Howard Lear ซึ่งถามไว้ แต่เมื่อครั้ง มาทำวิทยานิพนธ์ ปริญญาเอก
ที่ปฐมอโศก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ในหัวข้อ วิทยานิพนธ์ ว่า "การศึกษาในเรื่องการสร้างชุมชนที่ดี"
โดยศึกษาเปรียบเทียบ ชุมชน NEVE SHALOM ที่อิสราเอล กับ ชุมชนปฐมอโศก
ที่จังหวัด นครปฐม ซึ่งคุณฮาวเวิร์ด เลือกแล้ว จากชุมชนต่างๆ ที่มีกันหลายประเทศ
และได้สัมภาษณ์อาตมาหลายเรื่อง ในคำสัมภาษณ์ต่างๆ นั้นมีถามเรื่อง
"ความรัก ๑๐ มิติ" นี้ด้วย ซึ่งอาตมาก็ได้ตอบแก่เขาไป ครบทั้ง
๑๐ มิติ แล้วอาตมา ก็ได้นำมาเรียบเรียง ลงใน น.ส.พ. "เราคิดอะไร"
อีกที ซึ่งเป็นต้นเค้า ให้อาตมา นำมาใช้เขียน จนเป็น "ความรัก
๑๐ มิติ ฉบับเขียนใหม่" ที่ท่านได้อ่านมา ทั้งหมดนี้แล
|