เมื่อฉันเป็นมะเร็ง...
ส.
ลักขิตะ
ดิฉัน เป็นคนที่ไม่ชอบกินยา มาแต่ไหนแต่ไร นับแต่ วัยเด็กจวบวันนี้
อายุปาเข้า ๖๐ ปี โดยเฉพาะ ยาแผนปัจจุบัน เป็นสิ่ง
ที่ไปกันไม่ค่อยจะได้เลย ดิฉันไม่ยอมแตะเวชภัณฑ์ใดๆ หากไม่จำเป็นจริงๆ
แต่ทว่า วันนี้ สุดที่ดิฉันจะเลี่ยงพ้น เมื่อลูกสาวคนเก่งมายืนคุมแจ
บังคับแม่ให้กินยาตามที่หมอสั่ง และ จัดให้ ราว กับว่า ดิฉัน
เป็นลูกที่แสนจะดื้อรั้น จนต้องถูกคุมความประพฤติ
ดิฉันไม่รู้หรอกว่า ตัวเองป่วย เป็นโรคอะไร แต่ยาที่หมอจัดมาให้
ก็มากนัก กินแต่ละที เป็นกอบกำมือ ไม่รู้ว่า ยาเม็ดไหน รักษาโรคอะไรบ้าง
ที่เขียนกำ กับซองยามาก็อ่านไม่ออก เพราะดิฉันเกิดมาในช่วงที่สังคมยังไม่ให้ค่าต่อการศึกษาของผู้หญิง
จึงโตมาอย่างไม่รู้หนังสือ แต่ดิฉันก็ได้เรียนรู้จากชีวิตจริง
จากประสบการณ์ ของความลำเค็ญ บากบั่นสู้ชีวิตมาจวบจนอายุ ๖๐
ปีแล้ว
มาถึงวัยชรา โรคภัยเริ่มคุกคามสังขารดิฉัน
รู้ว่า ร่างกายไม่ปรกติ
มีโรคร้ายบางอย่างอยู่ภายในนั้น แต่ดิฉันไม่รู้ว่า มันคืออะไร
คนข้างกายที่รู้ความจริงไม่มีใครยอมบอก ลูกสาว และ ญาติๆ ต่างปกปิด
และ บิดเบือน ไม่ยอมเผย ความจริงให้กระจ่าง เมื่อดิฉันถาม
ดวงหน้าทุกคนในบ้านต่างหม่นเศร้า
บางครั้งน้ำตาคลอ ขณะจ้องมองดิฉัน
และ พร ลูกสาวคนเดียวของดิฉัน ดูเหมือนจะเคี่ยวเข็ญให้ดิฉันกินยาตามที่หมอจัดให้เสียจริง
แต่ดิฉันก็พยายามหาทางเลี่ยงไม่กินอยู่ร่ำไป
บ่อยครั้งที่พรไม่ยอมออกไปทำงาน จนกว่า จะได้เห็นดิฉันกินยา
กับตานั่นแหละ
ลูกไปทำงานเถอะ ยาพวกนี้เดี๋ยวแม่กินเองได้หรอก ดิฉันพูด
หนูยังจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ลูกบอก จนกว่า แม่จะกินยาให้หนูเห็นเสียก่อน
ลูกสาวคนนี้ฉลาด เป็นกรด รู้ทันว่า ดิฉันจะเบี้ยว เมื่อสุด
ที่จะเลี่ยงพ้น ดิฉันก็ต้องยอมจำนน ประนีประนอมยอมกินยาตาม
ที่หมอให้มา
ก่อนที่ดิฉันต้องไปให้หมอตรวจสุขภาพ
ดิฉัน เป็น นักมังสวิรัติมานานหลายปี
งดกินเนื้อสัตว์ทุกประเภท ด้วยทัศนะคติ ทางพุทธศาสตร์ว่า การกินเนื้อสัตว์นั้น
เป็นบาป อันเกี่ยวเนื่อง เป็นเหตุแห่งการฆ่า ดิฉัน จึงเลิกกินเนื้อ
ด้วย หวังเจริญเมตตา
ให้ชีวิตส่ำสัตว์ทั้งปวง เพื่อความบริสุทธิ์ทั้งกาย และ ใจตามหลักคำสอนของ
พุทธศาสนา ที่ดิฉันได้รับฟัง มาจากผู้ปฏิบัติธรรม ชาวพุทธกลุ่มหนึ่ง
นอกจากจะ เป็นนักมังสวิรัติแล้ว ดิฉันยัง เป็นนักปฏิบัติธรรม
รักษาศีลธรรม ตามครรลองของพุทธศาสนิกชน และ เป็น
แม่ครัวอาสาสมัครปรุงอาหารมังสวิรัติของชมรมมังสวิรัติแห่ง ประเทศไทย
สาขาเชียงใหม่ เรียกโดยย่อว่า ชมร.เชียงใหม่
ทั้งแม่ครัว และ พนักงานอื่นๆ ภายในร้าน ล้วน เป็นอาสาสมัครที่ทำงานโดยไม่มีเงินเดือน
ทุกคนรวมทั้งตัวดิฉันเอง
ต่างเสียสละแรงกายมาช่วยงานภายในร้าน ด้วยทัศนะที่ว่า การทำงานเสียสละโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนนั้น
เป็นบุญกุศล อาสาสมัคร ไม่ต่ำกว่า สามสิบคน จึงเต็มใจมาเสียสละร่วมใจให้บริการลูกค้าประชาชน
ด้วยการขาย อาหารมังสวิรัติ ในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ
ดิฉันรัก และ เห็นคุณค่าในงานที่ทำอยู่นี้มาก เพราะการที่ลูกค้าได้มากินอาหารมังสวิรัติที่ดิฉันทำ
ย่อมมีส่วนให้ สัตว์อีกหลาย ชีวิตรอดตาย และ ยัง เป็นผลดีต่อคนกิน
เพราะ เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ซ้ำยังประหยัดรายจ่าย เราขายถูก
ข้าวราดแกง เพียงจานละเจ็ดบาท อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง
ในยุคเมืองไทย เป็นหนี้ท่วมหัวเช่นนี้ การที่เราขายของในราคาถูก
นับว่า เป็นการช่วยเหลือสังคมได้อย่างดี
ดิฉันทุ่มเททำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ดีใจยิ่งนัก กับการได้ทำงานเสียสละ
เป็นบุญ จนลืมนึกถึงสุขภาพ และ สังขารตน
ซึ่งแก่มากแล้ว ร่างกายมีแต่จะโทรม กับทรุด ดิฉันไม่แน่ใจว่า
ร่างกายเริ่มมีอาการผิดปรกติ โรคร้าย บางอย่างกัดแทะสุขภาพตั้งแต่เมื่อไหร่
รู้แต่ว่า มันค่อยๆ กำเริบขึ้นเรื่อยๆ
ดิฉันมีอาการเจ็บหน้าอกด้านซ้าย หายใจไม่เต็มปอด
ขณะลุยทำงานหนักอยู่ภายในร้านมังสวิรัติ
ดูเหมือนจะทำให้ อาการทรุดหนักยิ่งขึ้น ดิฉันรู้สึกเหม็น สะอิดสะเอียนอาหารทุกชนิดรอบกาย
ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ ราว กับเลือด มาคั่ง อยู่ตรงนั้น
ดิฉันไม่อาจฝืนทำงานได้ต่อไป เมื่อร่างกายอ่อนแอถึงขีด
ดิฉันบอกเพื่อนร่วมงานว่า
สุขภาพตอนนี้แย่เต็มทน คงต้องหยุดพัก ไม่อาจมาช่วยทำงานได้ เพื่อนร่วมงานที่
เป็นพ่อแก่แม่เฒ่า และ คนหนุ่มสาว กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม ต่างก็ห่วงใยในตัวดิฉันยิ่งนัก
บอกให้ดิฉันรีบไปหาหมอตรวจร่างกาย พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านให้หายดี
ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง อย่าห่วงงานภายในร้านเลย
แล้วดิฉันก็ต้องไปพบหมอ
พร ลูกสาวคนเดียวของดิฉันเรียนจบเทคนิคการแพทย์ ทำงานประจำอยู่ที่โรงพยาบาลในตัวเวียงเชียงใหม่
ทันทีที่ทราบว่า ดิฉันไม่สบาย ต้องตรวจร่างกายหาเหตุแห่งโรค
พรรีบเตรียมการทุกอย่าง ติดต่อนัดหมอ นัดวันเวลาเสร็จสรรพ เราออกจากบ้านในบ่ายวันหนึ่ง
พร และ น้องสาวของดิฉันชื่อ ยุภาพร ทั้งสองพาดิฉันนั่งรถไปลงยังคลินิกที่นัดหมอไว้
หมอผู้ชายนำดิฉันไปเอ็กซเรย์ร่างกาย
เสร็จแล้วให้นั่งรออยู่มุมหนึ่งของห้อง
หมอเรียกพร และ น้องสาวเข้าไปนั่งคุยที่โต๊ะทำงานยังอีกมุมหนึ่งภายในห้อง
บอกให้รู้ถึงผลการตรวจหาเหตุแห่งการป่วย
ของดิฉัน คุณหมอพูดเบาเหมือนไม่ต้องการให้ดิฉันรับรู้...พยายาม
ตั้งใจฟังคำที่หมอพูด อธิบายให้ลูก และ น้องเข้าใจ
ดิฉันจับคำความได้ไม่ชัดเจนว่า ตัวเองป่วย เป็นโรคอะไรกันแน่
แต่ก็พอเข้าใจถ้อยคำที่หมอแนะนำว่า หากดิฉันอยากจะ
กินอะไร หรือ ประสงค์สิ่งใดก็ตาม ขอให้คนทั้งสองตามใจดิฉันทุกอย่าง
เพราะนับแต่วันนี้ไป ดิฉันจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ ๖ เดือนเท่านั้น
แล้วหมอก็จัดยาให้ไปกินที่บ้าน
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมหมอต้องพูดเช่นนั้น
สีหน้าของลูก
และ น้องสาวแปรเปลี่ยน เป็นหม่นเศร้าอย่างเห็นได้ชัด ดิฉันเอง
กลับไม่รู้สึก เป็นกังวลทุกข์ร้อนอันใด อาจ เพราะไม่รู้สาเหตุแห่งโรคร้าย
หรือ อานิสงส์จากการปฏิบัติธรรมช่วยก็ เป็นได้ รู้จักทำใจยอมรับความจริงว่า
อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด หาก เป็นเรื่องของโชคชะตา สุดที่เราจะเลี่ยงพ้นได้
ระหว่า งทางนั่งรถกลับบ้าน
จู่ๆ ลูกสาวดิฉันก็น้ำตาไหลพราก
แลไปทางน้องสาวก็เห็นน้ำตาคลอเช่นกัน ดิฉันไม่เข้าใจว่า
อะไร เป็นเหตุให้เศร้ากันนัก ดิฉันถามแต่คำตอบจากปากพร และ น้องสาวไม่กระจ่างใจดิฉันเลย
รู้สึกพวกเขาพยายามบ่ายเบี่ยง ปกปิดความจริงบางอย่าง
เหมือนมีเทวทูตเข้ามาสิงสู่ในบ้าน
หลังจากวันที่ไปตรวจสุขภาพกลับมา
ดิฉันเหมือนกลาย เป็นผู้ต้องหาคดีอาญา ถูก
ควบคุมความประพฤติอยู่ภายในบ้านโดยลูก และ น้องสาว แทบไม่ให้คลาดสายตาเลยก็ว่า
ได้ เขาตามใจดิฉันทุกอย่าง และ บีบบังคับดิฉันในบางเรื่อง โดยเฉพาะบังคับให้กินยาซึ่งดิฉันเองพยายามเลี่ยงมาโดยตลอด
หมอนัดดิฉันไปตรวจร่างกายอีกครั้ง หลังเวลาผ่านไปกึ่งเดือน
ดิฉันไปพบหมอตามนัดที่คลินิก หมอซักถามถึง อาการป่วยอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วจัดยาให้ ซึ่ง เป็นสิ่งที่ดิฉันไม่ต้องการเลย ขณะอยู่ต่อหน้าหมอคนนั้น
ดิฉันเอ่ยถามว่า
คุณหมอช่วยบอกแม่หน่อยได้มั้ยว่า แม่ป่วย เป็นโรคอะไร กันแน่
?
หมอยังคงพูดบ่ายเบี่ยง ตอบไม่ตรงประเด็นเช่นเคย ดิฉันรู้จักหมอคนนี้
เพราะหมอ เป็นลูกค้าประจำของ ชมร. ดิฉัน จึงพยายามที่จะซักเอาความจริงจากปากหมอให้ได้
แม่ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงใช่มั้ย ? ดิฉันเดา
บอกแม่มาตามจริงเถอะ แม่จะได้ระวังตัวเอง เชื้อโรคอาจจะไปติดลูกค้าที่มากินอาหาร
เพราะแม่ เป็นคนปรุงอาหาร ไม่ดีแน่ หากคนอื่นต้องมาติดโรคร้าย
เพราะแม่ มันจะทำให้แม่ เป็นบาปนะหมอ
คุณแม่อย่า เป็นกังวลไปเลยครับ ต่อให้คุณแม่ปรุงอาหารมาให้ผมทานในตอนนี้
ผมจะทานทันที ไม่มีเชื้อโรคใดๆ ปนเปื้อน
มา กับอาหารแน่ สบายใจได้เลยครับ
ความพยายามที่จะได้รู้ความจริงล้มเหลว หมอยังคงรักษาจรรยาแพทย์
ไม่ยอมเผยความจริง หมอเกรงว่า ดิฉัน รู้ความจริงแล้ว จะกระเทือนจิตใจ
และ อาจส่งผลให้ตายไวขึ้น แม้ตัวดิฉัน จะยืนกรานว่า ทำใจได้
ยอมรับ ความจริง ทุกสถานการณ์ ก็ตามที
ดิฉันถือถุงยาเดินออกจากคลินิก กลับบ้านพร้อม กับปมสงสัยคาใจ
โรคร้ายอันใดกันแน่ที่กัดแทะชีวิตอยู่ในตอนนี้ ?
|