[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 8/10
Colse

สารบัญ
[1] |
[2]
|
[3]
|
[4]
|
[5]
|
[6]
|
[7]
|
[8]
|
[9]
|
[10]

เมื่อฉันเป็นมะเร็ง... ส. ลักขิตะ 

กลับไปช่วยงานร้าน ชมร.

เกือบ ๒ ปี ได้กระมังที่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน สุขภาพฟื้นคืนพอควร ควรที่จะไปช่วยงานได้แล้ว…ดิฉันคิด

เพื่อนร่วมงานบ่นคิดถึง และ แสดงความห่วงใย เมื่อดิฉันปรากฏที่ร้าน ชมร. แจ้งเข้าทำงาน หลายคนบอกให้พักรักษาตัว
อยู่บ้าน แต่ดิฉันยืนยันว่า ทำงานได้แล้ว ทุกคนต้องยอมในความเชื่อมั่นของดิฉัน เมื่อดิฉันกลับไปทำงานเหมือนแต่ก่อน อีกคนที่โวยวายคือพร

“ใครบังคับแม่ให้ไปทำงาน ” พรพูดหลังทราบเรื่อง
“ไม่มีหรอก แม่สมัครใจเอง” ดิฉันบอก
“ทำไมคะ ไม่ไปก็ได้นี่”
“แต่แม่อยากไป งานเสียสละมัน เป็นบุญนะลูก”
“หนูรู้ แต่แม่ยังไม่หายป่วยนะคะ”
“แม่คิดว่า แม่ทำได้นะ”
“หนูไม่เข้าใจ คนที่ร้านไม่ห้ามแม่บ้าง หรือ ไงนะ”
“เขาห้ามเหมือนกัน”
“แต่แม่ดื้อที่จะไปให้ได้” พรพูดขัดขึ้น ดิฉันยอมรับว่า ดื้อจริง

พรรู้ว่า ห้ามไม่ได้แน่ สีหน้าบอกว่า เป็นห่วง ได้แต่กำชับให้ดิฉันระวังสุขภาพ อย่าทำงานหนักเกินไป

งานมีส่วนช่วยให้ชีวิตรื่นรมย์

งานทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า ได้สัมพันธ์ กับผู้คน กับเพื่อนร่วมงาน และ ได้ออกกำลังกายไปในตัว ยิ่ง เป็นงานเสียสละด้วยแล้ว ผลที่ได้คือความอิ่มเอิบใจ พลังจิตวิญญาณช่วยต้านทานโรคร้ายได้ ดิฉันจับงานเบาๆ ทำร่วม กับเพื่อนวัยเดียวกัน เพลิดเพลิน กับการงาน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนบางครั้งลืมไปว่า ตัวเองป่วย เผลอยกของทีไร เจ็บแปลบ หน้าอกซ้าย ทันที ต้องกลับมานอนซมที่บ้าน

ดิฉันทำอะไรไม่ค่อยจะรู้ตัว เพื่อนร่วมงานต้องคอยเตือนเสมอ อย่ายกของหนัก ทุกครั้งที่อาการกำเริบ ทำให้ได้รู้ว่า มันยังอยู่ในอก กัดแทะปอด แน่นอนว่า ไม่มีวันหาย ได้แต่ประคองชีวิตไปเรื่อยๆ อยู่ กับมันอย่างประนีประนอม และ ยังคงรักษาตัวเองตามสูตร ควบคุมอารมณ์ ไม่เครียด กับงาน มีสติที่จะไม่โกรธ

มะเร็งทำให้ดิฉันต้องสูญเสียเลือด

ครั้งหนึ่ง น้องสาวชวนไปซื้อของที่ห้างแม็คโคร นั่งรถออกจากบ้านไปด้วยกันสองคน ระหว่า งทางอากาศร้อนผ่าว เป็นช่วงบ่ายแดดจัด ลงจากรถหน้าห้างแม็คโครแล้วเดินผ่านประตูหน้าเข้าไป

ภายในห้างอากาศเย็นเฉียบ เพราะมีแอร์ สัมผัสกายปรับจากร้อน เป็นเย็นฉับพลัน สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ขณะเดินเลือกของใช้อยู่นั้น ดิฉันพลันชะงักตะลึงงัน ! คุณพระช่วย ! เลือดสีแดงสดทะลักออกจมูก และ ปากดิฉัน ราว กับท่อน้ำแตก ยกมือปิดแทบ ไม่ทัน หันไปบอกน้องว่า เลือดไหล น้องตกใจหน้าซีด รีบคว้าม้วนกระดาษชำระจากชั้นขาย ส่งให้ดิฉันซับเลือด เลือดยังไหลไม่หยุด ดิฉันซับแล้วซับอีก กระเป๋าเสื้อสองข้างตุงด้วยกระดาษอาบเลือดสดๆ
น้องสาวยืนมองหน้าเสีย คงกลัวดิฉันตาย เลือดไหลหมดตัว เวลาผ่านไปสักพัก เลือด จึงหยุดไหล

“ไปโรงพยาบาลมั้ยพี่” น้องถามเสียงสั่น

“กลับบ้านดีกว่า ” ดิฉันบอก

“พี่ไม่ เป็นไรแน่นะ เลือดออกมากเชียว”

“เล็กน้อยน่ะ ร่างกายสร้างมาทดแทนใหม่ได้”

ไม่มีใจเลือกซื้อของต่อ น้องรีบพาดิฉันกลับบ้าน พร้อมจ่ายค่ากระดาษชำระ ที่ตอนเข้ามาไม่คิดจะซื้อเสียด้วยซ้ำ

เหตุสยองครั้งนี้ คิดว่า เพราะเปลี่ยนอุณหภูมิฉับพลัน มะเร็งมันคงไม่ชอบ จึงขับเลือดออกมา อย่างที่ดิฉันไม่ปวดเจ็บ
หน้าอกเลย นับว่า เป็นบทเรียนที่แลกมาด้วยเลือด คงต้องระวังมากขึ้น

อีกบทเรียนหนึ่งที่แลกมาด้วยเลือด

ช่วงนั้น ดิฉันรู้สึกอ่อนล้า เพราะลุยทำงานหนักเรื่อยมา กระทั่งถึงเทศกาลกินเจ อาหารเจขายดีมาก เรา คนทำเหนื่อยหนัก ไปตามกัน แรกคิดว่า จะหยุดงานช่วงเทศกาลกินเจ รู้ว่า ร่างกาย เริ่มจะแย่ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ พอถึงช่วง เทศกาล ก็อดไปช่วยงาน ร้านไม่ได้ เพื่อนหลายคนเขาเหน็ดเหนื่อย กระนั้นยังไป ควรที่เราจะไปเช่นกัน (ดิฉันคิด) จึงฝืนสังขาร ข่มใจสู้ ไปช่วยทำอาหารขาย ลุยทำงาน กับเพื่อนๆ เทศกาลกินเจ ๗ วัน คิดว่า พ้นช่วงนี้ไปคงได้พักนอนยาว

ดิฉันคงรู้สึกไปเอง ว่า ปีนี้คนกินเจมาก เป็นพิเศษ อาจ เพราะงานที่หนักมากทำให้คิดฟุ้งซ่านไป ผ่านไปสามวัน เรี่ยวแรงแทบสูญสิ้น ที่ยังทนอยู่ได้ เพราะพลังใจ แม้รู้ว่า กายแย่แล้ว แต่ใจยังสู้ทำงาน ทนได้ถึงวันที่ ๕ หลังจาก ทำสลัดผัก ออกขาย เสร็จสรรพ คุณใบแพร เดินเข้ามาหา แล้วบอกว่า

“แม่ปรานี ช่วยทำกล้วยบวดชีออกขายหน่อย นะแม่นะ”

ดิฉันรู้ว่า เธอทำงานหนักมาก รู้สึกเห็นใจ อยากช่วย จึงตกปากรับคำ

ดิฉันรู้สึกขย้อนในช่องท้องเหมือนจะอาเจียน หลังจากยกหม้อขนมที่หนักขึ้นตั้งเตาไฟ แล้วใช้ทัพพีกวนขนม ชั่วครู่เท่านั้น ดิฉันเริ่มรู้สึกว่า บางสิ่งในกายกำลังจะทะลักออกมา

“ใบแพร ช่วยดูขนมบนเตาแทนแม่หน่อย” ดิฉันรีบสั่งความ

“แม่ขอเข้าห้องน้ำเดี๋ยวเดียว”

ห้องน้ำอยู่หลังร้าน ดิฉันผละจากงานรีบเดินไป

เพียงก้าวผ่านประตู คุณพระช่วย ! เลือดสดๆ ทะลักออกปากออกจมูก ดิฉันก้มหน้าตรงโถส้วม ปล่อยให้เลือดหยาดหยดลง เป็นสาย จนโถส้วมแดงฉาน ช่างน่าขนลุก

ดิฉันใจหาย รู้สึกเสียดายเหมือนกัน แต่หยุดมันไม่ได้ คงปล่อยให้มันหลั่งตามสบายถึงหยดสุดท้ายก็หมดแรง สำรอกเลือดท้ายสุดลงคอห่าน แล้วจัดการราดน้ำ ล้างโถส้วม เสร็จแล้วเดินออกจากห้องน้ำ

ดิฉันอ่อนระทวยทั้งตัว เดินกลับมาหน้าร้าน อาการร่อแร่ บอกเพื่อนร่วมงานว่า ขอกลับบ้าน และ บอกให้รู้ว่า ดิฉันเสียเลือดไปมาก อ่อนเพลียแทบเดินไม่ไหว ช่วยงานต่อไม่ได้แล้ว ทุกคนห่วงใยดิฉันมาก จัดรถให้ไปส่งถึงบ้าน พร้อมพยุงไปขึ้นรถ

เพื่อนเดินมาส่งพร้อมให้มะละกอสุกผลเล็กๆ ผลหนึ่ง เจ้าประคุณเอ๋ย ดิฉันไม่สามารถจะอุ้มมะละกอลูกเล็กนั้น เรี่ยวแรงมลายไปหมดสิ้น กลับมาถึงบ้าน ดิฉันทรุดกายลงนอนแน่นิ่ง ใครมาเยี่ยมมาหา ดิฉันไม่ใส่ใจรับรู้ เอาแต่นอนอย่างเดียว

บทเรียนจากการโหมงานหนัก ต้องจดจำไม่ลืม ทำเอาดิฉันพักงานยาว เป็นเดือน ฟื้นฟูสุขภาพที่บ้าน คิดว่า ต่อไปต้องระวังให้มาก หากใช้กำลังยกของหนัก มีผลต่อมะเร็งในปอดแน่

นอกจากโรคมะเร็งแล้ว ดิฉันยังต้องรักษาพยาธิอย่างอื่นที่แทรกซ้อนเข้ามา เหมือน เป็นช่วงชีวิตใช้กรรมวิบาก ต้องอดทนฝืนสู้สังขารอย่างมาก บางครั้งกายอ่อนล้าเหลือแสน แม้ขณะนั่งสวดมนต์ไหว้พระ ดิฉันยังฟุบหลับไม่รู้ตัว

มีอาการปวดหัวเข่าเกิดขึ้น แรก เป็นไม่เท่าไหร่ ดิฉัน ไม่ใส่ใจนำพา คิดว่า คงไม่ เป็นอะไรมากมาย

นานวันเข้า มันสั่งสมจนเจ็บปวดถึงขีดสุด เดินแทบไม่ได้ ท้ายที่สุดต้องเข้าโรงพยาบาล เพื่อเอ็กซเรย์หาสาเหตุ ปรากฏผล
ออกมาว่า มีหินปูนเกาะที่กระดูกข้อเข่า มิน่าเล่าถึงเจ็บนัก ดิฉันบำบัดรักษาไม่นานก็หาย เดินเหินได้เช่นกาลก่อน

ทนทุกข์อยู่ถึง ๓ เดือน กับโรคไอกรน

ดิฉันแทบไม่ต้องหลับนอนกันเลย ไอโขลกดุจถอนรากถอนโคนมันออกมา หนักเข้าเหมือนจะตายให้ได้ แค่เอนกายลงนอน มันก็เริ่มไอแค้ก ๆ ทันที ต้องนอนตะแคง จึงบรรเทา

ดิฉันกินสมุนไพรดีปลี รักษาอาการได้ชะงัก ไม่พึ่งยาปฏิชีวนะเลย ก็หายได้เหมือนกัน

พ้นโรคไอกรนมา เป็นความดันต่ำอีก กายนี้ช่าง เป็นรังแห่งโรคเสียจริง…

ดิฉันรู้ว่า เป็นความดันต่ำโดยบังเอิญ ในวันนั้นที่ร้าน ชมร. คณะหมอ และ ทีมงานมาที่ร้านของเรา เพื่อตรวจ สุขภาพ คนแก่ ที่อาสา มาช่วยงาน ดูว่า นักมังสวิรัติสูงอายุ สุขภาพกายดีปานใด หมอเก็บ เป็นข้อมูลไว้ศึกษากระมัง จึงตรวจให้ฟรี

เพื่อนวัยใกล้ฝั่งอย่างดิฉันมีหลายคน เข้าคิวรอตรวจสุขภาพกันยาว ดิฉันอยู่ลำดับท้ายสุด ช่วงที่ยืนรอนั้น ดิฉันรู้สึก
หน้ามืด ซวนเซจะล้มลง ดีที่เพื่อนข้างกายคว้าตัวไว้เสียก่อน หมอแลเห็นว่า ดิฉันกำลังแย่ จึงขอแซงคิว ให้ตรวจสุขภาพ ดิฉันก่อน รออีกคงไม่ไหวแน่ ตรวจเสร็จสรรพ หมอบอกว่า ความดันต่ำ

อาจ เพราะดิฉันอายุพ้น ๖๐ แล้ว ประจวบ กับพักไม่พอ ทำงานเหมือนคนปรกติ ความจริงโรคร้ายฝังอยู่ในอก ความตายอยู่ใกล้เหมือนเงา

หลังเสร็จช่วยงานที่ร้าน กลับบ้านช่วยงานน้องสาวต่อรอบสอง กว่า จะนอนก็ดึกพอควร แล้วตื่นเช้ามืด เป็นอยู่เช่นนี้ ความดันไม่ลดให้มันรู้ไป

“คุณแม่ต้องพักให้พอ นอนให้มาก ๆ โรคนี้ จึงจะหาย” หมอบอกดิฉัน “คุณแม่ลุกจากที่นอนเวลาไหน”

“แม่ตื่นนอนประมาณตีสามตีสี่” ดิฉันบอก

“ออกกำลังกายยืดเส้นสาย ฟังเท็ปธรรมะจนถึงตีห้า ก็ออกจากบ้านมาช่วยงานที่ร้านมังสวิรัติ”

“มิน่าล่ะ ความดันถึงตกฮวบฮาบ คุณแม่อายุมากแล้ว อย่าคิดว่า ยัง เป็นสาวเหมือนก่อน นานแค่ไหนที่คุณแม่ตื่นเช้ามืดเช่นนี้”

“นานเหมือนกัน จนรู้สึกชิน”

“เก่งจริง เช้าขนาดนั้น หมอยังหลับอยู่เลย เอา เป็นว่า คุณแม่ต้องฝืนความเคยชินแล้วละ นอนไปจนหกเจ็ดโมงเช้าได้ยิ่งดี”

“มันจะได้ หรือ หมอ ตื่นแล้วก็ต้องลุก แม่จะนอนต่อได้ไง”

“แม้ไม่อยากนอนก็ต้องฝืน เพราะร่างกายคุณแม่มันไม่ไหวแล้ว ต้องพักให้สม กับอายุที่มากขึ้น ถ้าไม่ให้ตามที่ควรจะ เป็น มันจะแสดงอาการป่วยอย่างที่เห็นนั่นแหละ”

ดิฉันรับปากหมอว่า จะพยายาม ตื่นแล้วไม่ลุก นอนไป จนกว่า จะเจ็ดโมงเช้าโน่นแหละ การฝืนความเคยชินยากเหมือนกัน แรกๆ อึดอัด ต้องนอนทำใจอยู่บนที่นอน รอจนฟ้าสว่า งค่อยลุก แต่นานวันเข้าก็ไม่ต้องฝืน ทำได้ เป็นปรกติในที่สุด

สุขภาพดีขึ้นเมื่อการใช้ชีวิตได้สัดส่วน ทำงานพอดี พักผ่อนเพียงพอ จิตใจเบิกบาน อาหารไม่ เป็นโทษ มีพระธรรม เป็นแนวทาง ได้บุญกุศลหล่อเลี้ยงใจ ต่อให้โรคร้ายสักปานใด ไม่น่ากลัว ความดันกลับเข้าสู่เกณฑ์ปรกติในเวลาอันสั้น หลังจากจัดองค์รวมชีวิตได้ลงตัว


  เมื่อฉันเป็นมะเร็ง
   [เลือกหนังสือ]
page: 8/10
Colse
   Asoke Network Thailand