[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 3/10

สารบัญ
[1] |
[2]
|
[3] |
[4]
|
[5]
|
[6]
|
[7]
|
[8]
|
[9]
|
[10]

เมื่อฉันเป็นมะเร็ง... ส. ลักขิตะ 

จะอย่างไรก็เถอะ ทุกอย่าง เป็นไปด้วยดี ดิฉันไม่ต้องเสื่อมเสีย และ ยังได้แต่งงาน กับเขาสมใจมาดมั่น

ดิฉันออกจากเรือนตามสามีไปอยู่ที่ลำปาง ช่วยกันทำมาหากิน สร้างฐานะครอบครัวด้วยการเปิดร้านขายของชำ

ชีวิตครอบครัว เป็นสุขดี สามีรักดิฉันมาก ตามใจ และ ห่วงใยไปเสียทุกอย่าง เข้าทำนองแต่งงานใหม่ น้ำต้มผักก็ยังหวาน สามีอยู่ในโอวาทภรรยาอย่างเคร่งครัด แต่กาลเวลาเปลี่ยนไป อะไรก็เปลี่ยนตาม และ มักจะ เป็นไปในทาง เลวร้าย เสมอ สำหรับชีวิตคู่ หลังจากอยู่กิน กับเขาจนมีลูกสาวสองคน และ คนที่สามกำลังอยู่ในท้อง

ชีวิตความ เป็นอยู่ของเราย่ำแย่ลงทุกวัน…การค้าขาดทุนอยู่เรื่อยๆ ในที่สุดก็ไปไม่รอด ครอบครัวตกอยู่ในสภาพยากจน ดิฉันเริ่มเครียด นอนไม่ค่อยหลับ ปัญหามากมายรุมเร้าเข้ามาในชีวิต ความจน และ อดอยากทำให้ต้องคิดมาก ตัวเองไม่ห่วงเท่าไหร่ แต่สงสารลูก ไม่อยากให้เขาลำบาก

สามีตัดสินใจไปค้าขายยังต่างจังหวัด... ทิ้งดิฉันให้เฝ้าบ้านอยู่ กับลูก เขาหายเงียบไปหลายเดือน ไม่หวนกลับบ้าน ไม่มีข่าวคราวราว กับสาปสูญไปจากโลกนี้ ปล่อยให้ดิฉันต้องทุกข์ลำเค็ญ ทำงานหาเลี้ยงตัว และ ลูกเพียงลำพัง

ท้องดิฉันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จวนคลอดเต็มที แต่พ่อของเด็กกลับหายหน้าไป ข่าวแว่วมาว่า สามีไปได้เมียใหม่... ดิฉัน ยังไม่เชื่อสนิทใจนัก แต่ก็เริ่มเครียด นับวันยิ่งคิดมากขึ้นเรื่อยๆ

มีจดหมายจากสามีมาถึงดิฉันในวันหนึ่ง ดิฉันดีใจ เป็นที่สุด รีบนำไปให้คนข้างบ้านอ่านให้ฟัง...

“ปรานี สงสัยว่า เขาจะไปมีใหม่แล้วหละ” เพื่อนบ้านพูด

“คิดดูก็แล้วกัน จากไปตั้งนาน เงินสักบาทก็ไม่ยอมส่งมาให้ เขียนจดหมายมาเพียงถามสารทุกข์สุกดิบเท่านั้น” เธอแสดงความเห็นหลังอ่านจดหมายจบ

“เขาเขียนบอก หรือ เปล่าว่า จะกลับบ้านเมื่อไหร่” ดิฉันถาม

“ไม่หรอก… ลืมเสียเถอะว่า เขาจะกลับมา ป่านนี้มันคง…” เธอเงียบไปไม่พูดต่อ

ดิฉันนอนร้องไห้แทบทุกคืน ไม่เข้าใจว่า เขาทำลงได้อย่างไรกัน ทิ้งดิฉัน และ ลูกไปอยู่ กับเมียใหม่ได้ลงคอ เป็นการกระทำที่
โหดร้ายใจดำอย่างที่สุด ดิฉันแค้นมาก เกลียดเข้ากระดูกดำ เขาช่างไม่มีความรับผิดชอบ ไร้มโนธรรมสำนึกเสียจริง

ดิฉันเครียดจัด…ความคิดเดือดอยู่ในหัวปานน้ำพุร้อน ตาค้าง หลับไม่ลงแทบทุกคืน ความแค้นมันอัดแน่นในอก ประหนึ่งความเกลียดชังทั้งมวลตกผลึก เป็นก้อนฝังอยู่ในอก

เมื่อคิดถึงลูกในท้อง…ดิฉันรู้สึกเศร้าอย่างเหลือแสน สงสารลูกจับใจ เขาต้องกำพร้าพ่อก่อนลืมตาเห็นโลกเสียด้วยซ้ำ

บาดแผลชีวิตที่เกิด เพราะสามี ทับถมให้ทุกข์ระทม สิ้นสูญ ความสดใส มีชีวิตชีวา เหมือนผลส้ม ที่ถูกล้อรถ บดบี้แบน อยู่กลางถนน ดิฉันกลาย เป็นคนอมทุกข์ บ่อยครั้งหลั่งน้ำตา เป็นเพื่อนปลอบใจ เส้นทางชีวิต ข้างหน้า ช่างมืดมน เหมือนคืน ข้างแรม คิดมาก เครียดมาก กับอนาคตตัวเอง และ ลูก

ชีวิตตกอับถึงที่สุด หลังจากคลอดลูกคนที่สามออกมาเป็นชาย ฐานะครอบครัวเหมือนดิ่งสู่ก้นเหว ชีวิตดิฉัน กับลูกๆ
เกลือกกลั้ว อยู่ กับความจน อดอยาก

บางวันดิฉันต้องอดข้าว เพื่อให้ลูกๆ ได้กินอิ่มกันทุกคน ข้าวไม่พอกินในมื้อเย็น ดิฉันต้องนอนหิวตลอดคืน เจ็บปวดลำไส้ คล้ายมัน จะฉีกขาด ออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย “ทนต่อไป อีกไม่นานก็เช้าแล้ว สว่า งเมื่อไหร่เราก็ออกไปทำมาหากินได้ ” ดิฉันบอกตัวเองขณะทนสู้ กับความหิว

ถึงแม้จะยากจนข้นแค้นสักเพียงไร ดิฉันก็ไม่เคยแล้งน้ำใจ กับเพื่อนบ้าน บางครั้งมีข้าวสารกรอกหม้ออยู่แค่สองถ้วย เมื่อ
เพื่อนบ้านขอแบ่งปัน ดิฉันก็เต็มใจแบ่งให้ และ บ่อยครั้งชาวบ้าน ขอแรงให้ไปช่วยงานบุญ เสียสละแรงกาย โดยไม่มีค่าตอบแทน ดิฉันไม่เคยปฏิเสธ

คุณป้าของดิฉันคงทราบข่าวความลำบากของดิฉัน กับลูกๆ จึงเมตตาสงสาร เดินทาง มาหาพวกเรา ถึงลำปาง แล้วชักชวนให้ย้ายไปอยู่เสียด้วยกัน

ย้ายจากลำปางมาอยู่ กับป้าที่อำเภองาว บ้านพัก เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ปลูกสร้างติดพื้นดิน ขนาดไม่ใหญ่โต ดิฉันต้องดิ้นรน ปากกัดตีนถีบ เพราะลูกสามคนกำลังเติบโต งานที่ทำ เป็นอาชีพเดิมซึ่งถนัดคือ ขายเนื้อหมู ดิฉัน ต้องไปรับเนื้อหมู ที่เขาฆ่าแล้ว มีทั้งเนื้อ และ เครื่องใน นำมาใส่หาบ ออกเดินเร่ขายไปตามชุมชน หาเลี้ยงชีวิตพออยู่รอดไปวันๆ

กาลผ่านไปไม่นาน เรื่องร้ายก็เข้ามาเยือนชีวิตดิฉันอีกครั้ง...

ช่วงเวลาที่ลูกสาวคนรองอายุไ ด้ ๖ ขวบ คุณปู่ได้มาเยี่ยมเราถึงบ้าน และ อยู่พักค้างด้วย ปู่รัก และ เอ็นดูหลานๆ มาก เอาอกเอาใจ พากันไปเที่ยวไหนต่อไหนอย่างมีความสุข

เย็นวันนั้น….ปู่พาลูกสาวคนรองของดิฉันไปเดินเที่ยวชมวัดวาอาราม ครั้นกลับมาถึงบ้าน เขาเกิด เป็นลมชักอย่างฉับพลัน
หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ ร่างกายของลูกสาวชักกระตุก แล้วก็สิ้นใจตายไปต่อหน้า !

คุณพระช่วย ! ทุกคนต่างตะลึงงัน ดิฉันช็อกตัวเกร็งเหมือนถูกสาปให้ เป็นหิน มันเร็วเกินไป เกินกว่า ที่จะแก้ไขสิ่งใดได้ทัน ครั้นได้สติรู้ตัว วิญญาณลูกก็หลุดลอยออกจากร่างเสียแล้ว

ดิฉันโอดครวญใจแทบขาด… คว้าร่างลูกมากอดไว้ใน อ้อมอก น้ำตาไหลพรากอย่างแสนสุดเสียใจ ความตาย พรากเขาไป จากดิฉัน อย่างไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ทำไมชะตาชีวิตถึงโหดร้าย ต่อเรานัก ลูกสาวดิฉันยังเด็ก เขาทำกรรมบาป ชั่วหนักหนาอันใดฟ้า จึงได้ลงทันฑ์รุนแรงถึงปานนี้

นับ เป็นช่วงชีวิตที่มรสุมร้ายโหมพัดกระหน่ำซ้ำเติม อารมณ์จิตใจตกอยู่ในห้วงแห่งความระทมทุกข์ ขมขื่น กับการสูญเสีย
สามีทิ้งไปได้ไม่นาน ความโศกเศร้ายังมิทันจาง ลูกสาวมาล้มตายไปอีกคน ก่อทุกข์ทับถมใจดิฉันเพิ่มขึ้นอีก ความเครียดรุมเร้าอยู่ตลอดเวลา ปั่นป่วนเหมือนทะเลที่บ้าคลั่ง

การตายของลูก เพื่อนบ้านต่างพูดกันว่า ผีร้ายมาเอาชีวิตเขาไป…ดิฉันก็รับฟัง แต่ยังไม่เชื่อสักเท่าใหร่ คิดว่า บุญกรรมที่เขาทำมาแต่ปางก่อนมีเพียงเท่านี้ จึงมีอายุสั้นเสียมากกว่า

แต่เหมือนโลกนี้ไม่มีเมตตา หลังลูกสาวคนรองจากไปไม่นาน ดุจฟ้าต้องการลงทัณฑ์ดิฉันอีกครั้ง ครั้งนั้นดิฉันต้อง
เดินทางไกลไปส่งญาติคนหนึ่งถึงเมืองกรุง ฯ ทิ้งลูกคนเล็กซึ่งมีอายุได้เพียงขวบ กับอีกแปดเดือนให้ปู่ช่วยดูแล

ลูกคนเล็กนี้ดิฉันรักแกมาก เพราะเขาเกิดมาอาภัพ ไม่มีพ่อ ทั้งรัก และ สงสารกว่า ลูกคนไหนๆ แก เป็นเด็กน่ารัก ใครเห็นก็เอ็นดู แก้มยุ้ย ตัวอ้วนจ้ำม่ำ ช่วงที่ต้องหาบเนื้อหมูไปเร่ขาย มักจะปล่อยลูกนั่งแช่น้ำเล่นในอ่าง เป็นประจำ

หลังจากไปส่งญาติถึงเมืองกรุงฯ…ก็เดินทางกลับมาบ้าน ดิฉันก้าวเข้าไปภายในบ้าน ไม่ปรากฏหน้า ลูกคนเล็ก… มีแต่แววตา อันสร้อยเศร้า ของคุณปู่ที่จ้องมองดิฉันอย่างเงียบงัน ให้ความรู้สึก ที่น่าใจหาย !…

ดิฉันถามปู่ว่า ลูกคนเล็กหายไปไหน

ปู่นิ่งอึ้งอยู่ชั่วครู่ ...ราว กับไม่ได้ยินที่ดิฉันถาม ครู่หนึ่ง จึงพูดคล้ายน้ำเสียงระคนเศร้า

“ไอ้หนูมันสิ้นใจไปเสียอีกคนแล้วละแม่ปรานี”

“คุณพระช่วย !” ดิฉันหูอื้อ ตะลึงงัน เหมือนโดนฟ้าผ่าลง กลางใจ ทั่วสรรพางค์กายอ่อนปวกเปียกแทบล้มทั้งยืน


  เมื่อฉันเป็นมะเร็ง
   [เลือกหนังสือ]
page: 3/10
   Asoke Network Thailand