[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 5/10

สารบัญ
[1] |
[2]
|
[3]
|
[4]
|
[5]
|
[6]
|
[7]
|
[8]
|
[9]
|
[10]

เมื่อฉันเป็นมะเร็ง... ส. ลักขิตะ 

ดิฉันคิดว่า ถูกเพื่อนหลอกเข้าให้แล้ว แต่ปรกติดิฉันไม่เคยฟังเทศน์ จึงคิดว่า น่าจะลองฟังดูบ้าง จึงนั่งฟัง ธรรมจากเท็ป ม้วนนั้น โดยตลอด พระองค์นี้เทศน์แสดงธรรมได้อย่างฉะฉาน เรียงร้อย คำสอน ได้อย่างน่าฟัง และ เข้าใจง่าย ดิฉันพลันซาบซึ้งคำสอน… คล้ายคนถูกขังในห้องมืดได้ก้าวพ้นออกจากห้องเห็นแสงสว่า งของโลกอีกใบหนึ่ง เป็นโลกแห่งสัจธรรม เป็นโลกแห่งความดีงาม

ดิฉันบอกคุณบังอรว่า พอใจม้วนเท็ปที่ให้มา เป็นอย่างยิ่งพร้อมจ่ายเงินให้

ชีวิตของดิฉันเริ่มหันเหเข้าสู่เส้นทางธรรม หลังจากได้ฟังเท็ปธรรมะม้วนนั้น…

คุณบังอรพาดิฉันไปทำบุญที่วัดบ่อยครั้ง พระที่วัดนั้นฉันมังสวิรัติ และ มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดอยู่ในศีลในธรรม เห็นแล้ว
น่าศรัทธาเลื่อมใสยิ่ง

เมื่อสัจธรรมหยั่งรากลงในจิตวิญญาณ…ดิฉันเริ่มกินมังสวิรัติ หลังได้ฟังว่า การกินเนื้อสัตว์ เป็นบาป เพราะเท่า กับเรา เป็นต้นเหตุแห่งการฆ่า สัตว์ทุกชนิดก็รักชีวิตของตน ไม่ยุติธรรมเลยที่เราจะไปมีส่วนพรากชีวิตเขาเพียงเพื่อความเอร็ดอร่อย

ดิฉันเริ่มขบคิดถึงกรรมวิบาก ความทุกข์ลำเค็ญ ความสูญเสียที่ได้ประสบมา อาจ เป็นผลกรรมวิบากชั่วก็ เป็นได้ เพราะชีวิตในอดีตของดิฉันสั่งสมบาปกรรมไว้มาก

ความคิดประหวัดกลับไปหาความตายของแม่...ช่วงที่แม่ประกอบอาชีพค้าเนื้อหมูร่วม กับพ่อ ดิฉันเห็นแม่ลวกไส้หมูด้วย
น้ำร้อน เป็นประจำ ผลกรรมวิบากนี้กระมัง เป็นบาปให้แม่ตายอย่างทุกข์ทรมานด้วยโรคมะเร็งในลำไส้

คิดถึงตัวดิฉันเอง ช่วงชีวิตยึดอาชีพฆ่าหมูขาย หมูจำนวนไม่น้อยทีเดียว ตายด้วยดิฉัน เป็นต้นเหตุแห่งการฆ่า คง เป็นการ
ลงทัณฑ์ของกรรมวิบาก ทำให้ต้องชดใช้ด้วยชีวิตของลูกทั้งสอง

ครั้นคิดใคร่ครวญถึงความเลวร้ายในอดีต ชีวิตช้ำชอกต่อการสูญเสีย ทำให้ดิฉันเริ่มเชื่อในพระธรรมคำสอนของพระว่า ผลกรรมวิบากดี - ชั่ว นั้นมีจริง พร้อมจะส่งผลต่อชีวิตเราตลอดเวลา และ ติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ

ดิฉันเริ่มแสวงหาความสุขจากความสงบ ด้วยการรักษาศีล บำเพ็ญธรรม เสียสละทำบุญทำทาน ละเลิกอบายมุขต่างๆ หมั่น
ไปวัดฟังธรรม ฝึกอบรมจิตใจให้สงบเยือกเย็น ไม่ฆ่าสัตว์ และ กินอาหารมังสวิรัติ

มีนักปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่งจัดงานบุญเลี้ยงพระ คุณบังอรชวนดิฉันไปร่วมงานบุญครั้งนี้ด้วย เพื่อ ทำความรู้จัก เพื่อนนักปฏิบัติธรรม ที่มาในงาน

ดิฉันได้เห็นพระที่มาในงาน พลันเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ท่านครองผ้าสีคล้ำ ต่างจากพระผ้าเหลืองทั่วไป อากัปกิริยาสงบสำรวม แต่ก็คุย กับญาติโยมอย่าง เป็นกันเอง ราว กับ เป็นเครือญาติสนิทสนมกันมานาน ท่านแสดงธรรมฉะฉาน ชัดถ้อยชัดคำ เนื้อหาธรรมล้วน เข้าใจได้ง่าย ฟังแล้วเกิดความปีติยินดี

กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมช่างมีอัธยาศัยไมตรีอันดี แรกเจอหน้า พวกเขายกมือไหว้ แย้มยิ้มทักทายกันอย่างอ่อนน้อม การได้มา
คบคุ้น กับพวกเขาทำให้ดิฉันเกิดความรู้สึกดีๆ และ เป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก

ทุกคนล้วน เป็นผู้มีศีล และ เป็นนักมังสวิรัติ พวกเขารวมตัวกัน เป็นกลุ่ม ร่วมใจสร้างสรรงานเพื่อศาสนา และ สังคมประเทศชาติ

ดิฉันเห็นดีเห็นงาม กับกิจกรรมของผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มนี้ และ เข้าร่วม เป็นสมาชิกคนหนึ่งในที่สุด

เมื่อร้านอาหาร “ชมร. เชียงใหม่” ก่อเกิดขึ้นด้วยอุดมการณ์ขายอาหารราคาถูก เป็นบุญกุศลทั้งคนกิน และ คนขาย

ลูกสาวคนเดียวของดิฉันโตแล้ว มีงานทำ หาเลี้ยงตัวเองได้ ดิฉันหมดห่วง ช่วงชีวิตในวัยใกล้ฝั่ง จึงอยาก จะสั่งสม บุญกุศล ให้ได้มากที่สุด

ดิฉันตัดสินใจเลิกขายของชำ เพื่อจะไปทำงานเสียสละให้ ชมร. อย่างเต็มที่ ข้าวของภายในร้าน ดิฉัน แจกจ่าย บริจาค จนหมด เกลี้ยง… ปิดร้านถาวร น้องสาวเสียดายกิจการ พร่ำบ่น ให้ดิฉันเสีย ยกใหญ่ว่า โง่อะไรอย่างนี้ ใครจะต่อว่า อย่างไรก็ตามที…ดิฉันตัดสินใจไปแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน เพราะชัดเจนว่า ชีวิตเกิดมาเพื่อสิ่งใด เราทุกคน เกิดมา ก็ต้องตาย ทรัพย์มากมายตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ แม้กายเรายังถูกเผาสลาย เป็นขี้เถ้า ป่วย การกล่าวไปไย ถึงวัตถุ ข้าวของ เงินทอง

กรรมดี-กรรมชั่วเท่านั้นที่จะติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ ตราบที่เรายังเวียนว่า ยในวัฏสงสารนี้

เมื่อชาตินี้เราได้เกิดมา เป็นคนก็ควรสั่งสมกรรมดี บำเพ็ญบุญกุศล เสียสละทำประโยชน์ให้โลก และ สังคม ใช้เวลา ของชีวิต อย่างมีคุณค่า มิใช่เกิดมาเสพสุข มัวเมาในลาภยศชื่อเสียง และ กิเลสตัณหา แล้ว ตาย จากโลกนี้ไป อย่างเปล่าดาย… ชาติหน้า จะได้เกิด เป็นคนอีก หรือ เปล่าก็ไม่รู้

ดิฉันตระหนักว่า ไม่ควรประมาทต่อผลกรรมวิบาก…หลังได้เรียนรู้สัจธรรมอย่างต่อเนื่อง ดิฉันเข้าใจ และ รู้จักใช้ชีวิตอย่างมี
คุณค่า ไม่อยากเสียเวลา กับการหาทรัพย์ภายนอกอันจอมปลอม อีกต่อไป สุขที่แท้ไม่ได้อยู่ที่ความร่ำรวย

บุญ คือการเสียสละต่างหากที่ เป็นทรัพย์แท้ของชีวิต จิตใจที่สงบจากกิเลสทั้งปวง นี้แหละคือที่สุดแห่งความสุขทั้งมวล

 

ดิฉันไม่รู้สึกสะดุ้งผวาสักเท่าใด แม้จะรู้ตัวว่า ความตายรอคอยอยู่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เช่นที่หมอทำนายไว้ ๖ เดือน เป็นอย่างมาก ที่โลกนี้ยังคงมีดิฉันอยู่

โรคร้ายเข้าคุกคามชีวิตเมื่อวัยชรา ผลกรรมวิบากได้ปรากฏแก่ดิฉันแล้ว ดิฉันเชื่อเช่นนั้น จึงยอมรับชะตากรรมโดยดี พร้อมเผชิญหน้า กับมันด้วยใจที่สุขุมเยือกเย็น ดิฉันผ่านชีวิตเลวร้ายมา จนอายุปูนนี้ ความตาย มิอาจ ก่อความหวั่นไหว ต่อจิตใจ แต่ดิฉัน ยังหวังมีอายุยืนยาว เพื่อทำความดี สั่งสมบุญบารมี จึงไม่ขอยอมแพ้ต่อโรคร้ายง่ายๆ ยืนหยัดที่จะสู้ แม้รู้ว่า ไม่มีทางรักษาหายขาด ขอเพียงได้ยืดวันตายออกไปบ้างก็ยังดี

ในคืนที่รู้ว่า เป็นโรคมะเร็งจากปากน้องสาว…ภายในห้องนอน ดิฉันครุ่นคิดหาวิธีรักษาตัวเอง เริ่มด้วยการหาข้อมูลจาก
เพื่อนบ้านที่ เป็นโรคร้ายเช่นเดียวกัน

ละม่อม เป็นคนแรกที่ดิฉันเข้าไปหา ซักถามพูดคุยสนทนาด้วย ละม่อม เป็นญาติของดิฉันคนหนึ่ง เป็นลูกสาวของน้า
เธอโชคร้ายเช่นเดียว กับดิฉัน แต่เรา เป็นกันคนละที่ ดิฉัน เป็นมะเร็งปอด ละม่อม เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

“คน เป็นโรคนี้ มันเจ็บปวดทุกข์ทรมานจริงนะพี่ปรานี” ละม่อมพูด พร้อมเล่าสภาพทุกข์ทรมานที่เธอต้องเผชิญให้ฟัง ดิฉันเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงอาการเจ็บปวดอย่างที่ละม่อมบอก เพราะได้สัมผัสความรู้สึกนั้นเช่นกัน ละม่อมแนะนำอีกว่า หากมีงานศพที่ไหนก็ตาม อย่าได้เที่ยวไปร่วมงาน เป็นอันขาด เพราะจะทำให้โชคร้าย…ตายไว ดิฉันรับฟังแต่ไม่ทำตาม… งานศพคนรู้จัก ดิฉันก็ไปร่วมทุกงาน

ดิฉันได้ฟังมาว่า การกินอาหารมังสวิรัติมีส่วนชะลอมะเร็งได้บ้าง ละม่อมยังกินเนื้อสัตว์ และ เหมือนจะกิน อย่างลาตาย… คือใครซื้ออะไรมาให้ก็กินหมด

“ละม่อมเปลี่ยนมากินมังสวิรัติ จะช่วยยืดอายุเธอออกไปได้อีก” ดิฉันแนะนำ “ และ ต้องคุมอาหารด้วยนะ จำพวกของมัน ของทอด อย่าไปกิน เพราะมัน เป็นตัวเร่งมะเร็งให้ขยายลุกลามไว ทีเดียว”

ละม่อมไม่สามารถทำตาม เธองดเนื้อสัตว์ไม่ได้ ควบคุมการกินไม่ได้ เพราะชีวิตเท่าที่ผ่านมา เธอ ไม่เคยฝึก บังคับใจ มิให้ไหลไป กับความอยาก และ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเช่นดิฉัน จึงไม่รู้จักควบคุมจิต ละม่อมมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงปี เธอ ก็จากโลกนี้ ไปชั่วนิรันดร์

ดิฉันได้ไปร่วมงานศพของละม่อม แม้เมื่อเธอยังมีชีวิตอยู่จะแนะนำดิฉันว่า อย่าได้ไปงานศพ เป็นอันขาดก็ตาม


  เมื่อฉันเป็นมะเร็ง
   [เลือกหนังสือ]
page: 5/10
   Asoke Network Thailand