[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี | ผู้เขียน
page: 6/10

สารบัญ
[1] |
[2]
|
[3]
|
[4]
|
[5]
|
[6]
|
[7]
|
[8]
|
[9]
|
[10]

เมื่อฉันเป็นมะเร็ง... ส. ลักขิตะ 

“แก้ว” เป็นผู้หญิงอีกคนที่มีชะตากรรมเดียวกัน…แก้วอาศัยอยู่ละแวกบ้านใกล้เคียง โรคมะเร็งพาให้เราได้คบคุ้นกัน รายนี้ เป็นมะเร็ง ที่ปอด เหมือนกันเลย เราพูดเล่าถึงโรคร้ายสู่กันฟัง และ เลียบเคียงถึงความตาย กินยาตามที่หมอจัดให้... เป็นวิธีรักษาอย่างเดียวที่แก้วกระทำอยู่ และ ไม่หวังอะไร กับวิธีรักษานี้ ดิฉัน แนะให้แก้วกิน อาหารมังสวิรัติ เพื่อยืด วันตาย ออกไป เธอเห็นดีด้วย และ รับปากว่า จะกิน แต่ทำได้แค่ ๓ วัน เธอก็เลิก กลับไปกินเนื้อสัตว์เช่นเดิม ซ้ำร้ายยังดื่มเหล้า และ สูบบุหรี่ ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่าง เหลวแหลก ครบเครื่องอบายมุขเลยก็ว่า ได้ แก้วใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายไม่ถึงปี…ก็ตาย

หลายคนที่ดิฉันได้คบคุ้น พูดคุยถึงชะตาชีวิตแบบเดียวกัน…ทุกคนต่างสิ้นหวัง ได้แต่รอวันจากโลกนี้ไปอย่างทุกข์ทรมาน คนที่จิตอ่อนแอก็ตายไว คนที่ใจเข้มแข็งก็ยืดวันตายออกไป ดิฉัน รู้ว่า ตัวเองใกล้ตาย…แต่ยังคอย เป็นกำลังใจ ให้ผู้ร่วมเส้นทาง แห่งมะเร็ง ดิฉันฝืนสังขารไปเยี่ยมพวกเขาถึงบ้าน อยากให้เขามีกำลังใจต่อสู้ แม้ช่วยได้ไม่มากนัก อย่างน้อยก็ เป็นเพื่อนคุยคลายเหงา เพราะกำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า ยาขนานใดๆ

เช่นเคย…ดิฉันบอกพวกเขาให้กินอาหารมังสวิรัติทุกคน แต่ว่า เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา ทำได้ ไม่กี่วัน ก็กลับ เข้าสู่วงจร ชีวิตเดิมๆ ดิฉันประจักษ์ชัดแล้วว่า อุปาทานความติดยึดในรสอาหาร มีอำนาจเหนือใจคนยิ่งกว่า ความตาย การที่จะเลิก กินเนื้อสัตว์ หันมากินมังสวิรัติไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

นับว่า เป็นโชคดีของดิฉันที่ได้พบสัจธรรม เรียนรู้เข้าใจชีวิต ดำเนินวิถีทางตามครรลองพุทธศาสนา

ดิฉันเริ่มกินมังสวิรัติด้วยศรัทธาว่า เป็นบุญ เป็นการช่วยชีวิตสัตว์ เป็นกุศลที่พึงรักษาให้บริสุทธิ์ ด้วยเห็นอานิสงส์ ผลบุญในจุดนี้ ก่อพลังใจให้เลิกกินเนื้อสัตว์ได้ และ รักษามังสวิรัติได้บริสุทธิ์มาตลอด

พวกเขามิได้กินมังสวิรัติด้วยศรัทธาเหมือนเช่นดิฉัน มิได้เข้าใจในสัจธรรม ไม่เคยรักษาศีลปฏิบัติธรรม ยามเมื่อกิเลส
เรียกร้อง อยากจะกินเนื้อสัตว์ พวกเขา จึงได้แต่สยบยอม

เมื่อ เป็นมะเร็งในขั้น ๓ น้ำหนักตัวจะลดฮวบฮาบ ตัวผอมซีดเซียว หากอาการหนักมากขึ้น ก็ได้แต่ นอนรอ วันตาย… ตัวดิฉันเอง เป็นอยู่ในขั้น ๓

ดิฉันได้รับการแนะนำให้ไปปรึกษา กับหมอเมือง (หมอแผนโบราณ) เล่าลือกันว่า หมอคนนี้เก่งนัก ดิฉัน จึงอยากลอง ไปพิสูจน์ดู บ้านหมอเมืองอยู่ในตัวเวียงเชียงใหม่ หมอ เป็นชายชรา ร่างสันทัด อายุปาเข้า ๙๐ กว่า เกือบจะถึง ๑๐๐ ปี แต่ท่าทางคล่องแคล่ว กระชุ่มกระชวยเหมือนไม่ใช่คนแก่

ที่ผ่านมา รักษาด้วยการกินยาตามที่หมอโรงพยาบาลจัดให้ แต่อาการไม่ได้ขึ้นเลย ยังคงเจ็บปวดหน้าอก และ ร้อนผ่าวเหมือนถูกสุมด้วยไฟ ดิฉัน จึงเลิกกินยา เพราะเห็นว่า มันไม่ช่วยให้ดีขึ้น แล้วก็มาถึงการรักษา กับหมอเมือง...

หมอเมือง เป็นคนมีอัธยาศัยดี แย้มยิ้มให้คนไข้อย่างเป็นกันเอง ดิฉันบอกเล่าอาการของโรคให้หมอฟัง หมอ บอกให้ดิฉัน ควบคุม เรื่องการกิน เป็นอันดับแรก อาหารต้องห้ามได้แก่ จำพวกผลไม้มียาง ขนุน ของทอดน้ำมัน ขนมหวานต่างๆ อาหารรสเค็ม เป็นต้น

เมื่อเริ่มควบคุมอาหาร รู้สึกว่า อาการดีขึ้นบ้าง แต่ยังสาหัสอยู่โดยรวม กระนั้นดิฉันก็ใจชื้นขึ้นมาบ้างแล้ว มีหวัง ได้เลื่อน วันตาย ออกไปอีก ที่น่าแปลกใจ หมอที่โรงพยาบาลไม่เคยบอกให้คุมอาหารเลย ทั้งที่คุมแล้วอาการทุเลากว่า กินยา เป็นกอบ เป็นกำเสียอีก เป็นแง่คิดที่ดิฉันได้เรียนรู้ โดยเอาตัวเอง เป็นสนามทดลอง

วิธีรักษาของหมอเมืองที่แปลกประหลาดอีกอย่าง แทบไม่น่าเชื่อ คือ การใช้เวทมนต์คาถา ปรกต ิดิฉัน มิใช่คน ประเภทงมงาย ในเรื่องไสยศาสตร์ แต่ประสบการณ์ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ดิฉันไม่สามารถอธิบายได้ หมอเมืองบดข้าวสารผสม กับกระเทียม… จากนั้นนำมาพอกหัวแม่มือซ้ายของดิฉัน แล้วพันทับอีกทีด้วยผ้าคล้ายพันแผลมีด บาดนิ้ว ธรรมดา ต่อด้วย นำมีด ทองเหลืองมาชุบน้ำ ใช้มีดถู เริ่มจากหัว ไล่เรื่อยลงมา หัวไหล่ซ้ายมาตรงแขนซ้าย แล้วไปสุดที่นิ้วโป้งซึ่งมีผ้าพัน หมอเมืองทำเช่นนี้อยู่หลายรอบ พร้อมร่ายคาถา เหมือนขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากตัวดิฉัน

ย่ำค่ำนี้แหละ พิษมะเร็งจะถูกดูดออกทางนิ้วโป้ง จะรู้สึกเจ็บปวดทรมานบ้าง หากปรากฏเช่นว่า ขอดิฉันอย่าตื่นตกใจ เพราะ เป็นฤทธิ์จากการรักษา หมอเมืองบอกเช่นนั้น ยังมียากินอีกขนานหนึ่งที่หมอเมืองให้ไปกินที่บ้าน ตัวยา เป็นผงสีดำ เป็นสมุนไพรอะไร สักอย่าง นำมาบดละเอียด ดิฉันไม่รู้ว่า เป็นอะไร หรือ มีส่วนผสมอะไรบ้าง ไม่อยากจะเชื่อว่า ข้าวสาร และ กระเทียมบดจะช่วยดูดพิษมะเร็งออกทางหัวแม่มือซ้ายได้ มันเหมือน เป็นเรื่องเล่าเกี่ยว กับแม่มดหมอผี

แต่...คุณพระช่วย ! สิ่งที่ตนเองกำลังเผชิญ มันช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ประหลาดเกินกว่า จะอธิบาย มันเกิดขึ้น ในค่ำวันนั้น…ที่ห้องนอนดิฉัน

ส่วนกายที่หมอเมืองใช้มีดทองเหลืองไล้ถู ปรากฏอาการเจ็บปวด ร้อนผ่าวอย่างถึงขีดสุด ดิฉันต้องขบฟันแน่นทนรับ
ความเจ็บปวดนั้น มันทรมานเหลือบรรยาย ราวจะขาดใจ รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟไหลลงมาตามแขน ดูดมา กระจุกรวมกัน อยู่ตรงหัวแม่มือ ซ้าย ดิฉันทั้งเจ็บปวด และ หวาดกลัว ไม่คาดคิดว่า จะ เป็นไปได้ ปานนี้ อย่างที่หมอเมืองพูดไว้ไม่ผิด

รุ่งขึ้นไปพบหมอเมือง…เล่าเหตุการณ์ให้หมอฟังอย่าง ตื่นเต้น อัศจรรย์ใจ เป็นที่สุด แสดงว่า การรักษา เป็นผล พิษมะเร็ง จึงถูกขับออกมา... หมอเมืองบอก

ดิฉันต้องเบิ่งตาตะลึงลานอีกครั้ง ! เมื่อหมอแก้ผ้าพันออกจากหัวแม่มือ…ปรากฏว่า มันบวมโป่ง มีน้ำใสๆ คล้ายโดนไฟลวก

เหลือเชื่อจริงๆ…อธิบายไม่ได้ หากไม่เห็นเต็มสองตา และ ประสบ กับตัวเอง ดิฉันคงไม่เชื่อแน่ จากนั้นหมอเมืองใช้เข็มบ่ง
น้ำใสๆ นั้นออกจากหัวแม่มือซ้ายของดิฉัน ส่วนผงยาสีดำ กินแล้วรู้สึกเลือดลมเดินสะดวก ผายลมบ่อย ช่วยให้ท้องเบาสบาย วิธีการรักษาของหมอเมืองดึงดูดใจดิฉันให้อยากศึกษา จึงสมัครใจมาอยู่ที่บ้านพ่อหมอ ช่วย เป็นลูกมือจัดยารักษาคนไข้ หมอเมืองอนุญาต และ กล่าวขอบคุณ

ดิฉันช่วยงานหมอเมืองได้เล็กน้อยตามกำลัง งานหนักดิฉันช่วยไม่ได้ ตัวเองก็ป่วยใกล้ตาย คนไข้หมอมีมาก มาเต็มบ้าน
ไม่เว้นแต่ละวัน ดิฉันช่วยทำอาหารมังสวิรัติให้คนในบ้านหมอเมือง ได้ลิ้มลอง รวมทั้งดิฉัน หมอเมือง ช่วยรักษา คนอย่าง ไม่รู้เหน็ด-เหนื่อย… หมอคุยเก่ง เล่าประสบการณ์ชีวิตให้ดิฉันฟังมากมาย

“เคยมีคนบอกนะ” หมอพูด “ว่า จะพาหมอไปอยู่อเมริกา รักษาคนไข้ที่โน่น แต่หมอปฏิเสธ แค่เมืองไทยก็รักษากันไม่หวาด
ไม่ไหวอยู่แล้ว หมออายุปูนนี้แล้ว อยู่ได้อีกไม่นาน ไม่อยาก หอบสังขารไปที่ไหนไกลๆ”

อยู่บ้านหมอเมืองได้หนึ่งอาทิตย์ มิได้รู้สูตรยาแม้ขนานเดียว ดิฉันเคยถาม… แต่หมอหวงวิชา ไม่บอก รู้สึกว่า อยู่ต่อ คงไม่ได้ อะไร ดิฉัน จึงลาหมอ กลับไปอยู่บ้าน

ดิฉันกินยาผงสีดำต่อเนื่องกันแค่สามชุดก็เลิก เพราะรู้สึกว่า มัน เป็นแค่ยาไล่ลม มิอาจหยุดยั้งมะเร็งได้ เมื่อเลิกกินยา ดิฉันก็หมดความจำ เป็นไปหาหมอเมือง ต่อมาไม่นานนัก หมอเมืองก็ตาย คนไปร่วมงานศพมากมายจริงๆ คาดว่า เป็นคนเคยมารักษาไข้ กับหมอเมือง หมอทำประโยชน์ต่อสังคมไว้มาก ทุกคนในงานเห็นคุณในจุดนี้ แต่ เป็นที่น่าเสียดาย วิชาแพทย์แผนโบราณที่สูญสลายไปพร้อม กับลมหายใจของหมอเมือง ไม่มีใครได้รับการถ่ายทอด วิชาความรู้ ยามสิ้นใจ ก็เอาไปไม่ได้ แต่คนเราก็ช่างหวงแหน เพราะเห็นแก่ตัว…ศิลปศาสตร์ดีงามไม่น้อยที่ต้องตายไปพร้อม กับผู้รู้ที่หวงวิชานั้นๆ น่าเสียดายจริง


  เมื่อฉันเป็นมะเร็ง
   [เลือกหนังสือ]
page: 6/10
   Asoke Network Thailand