[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 7/10

สารบัญ
[1] |
[2]
|
[3]
|
[4]
|
[5]
|
[6]
|
[7]
|
[8]
|
[9]
|
[10]

เมื่อฉันเป็นมะเร็ง... ส. ลักขิตะ 

ดิฉันหมดสิทธิ์ไปช่วยงานร้าน ชมร. มะเร็งร้ายคุกคามสุขภาพกายอย่างไม่ปรานีปราศรัย จำต้องเยียวยารักษาตัวอยู่ กับบ้าน และ ไม่คิดแสวงหาหมอรักษาอีกแล้ว…ตั้งใจเผชิญหน้า กับมันด้วยตัวเอง

ดิฉันตั้งใจเอาตัวเอง เป็นเช่นหนูทดลอง ศึกษาทั้งชีวิต และ จิตวิญญาณ เรียนรู้ความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน พร้อม ค้นคว้า สูตรรักษาโรคร้ายในตัว

เคยมีคนกล่าวไว้ว่า “ตัวเรา เป็นหมอให้ กับตัวเองได้ดีที่สุด”

เริ่มด้วยการควบคุมอาหาร และ ควบคุมอารมณ์ จิตใจ เป็นส่วนสำคัญยิ่ง

วิธีรักษาด้วยอาหาร... ดิฉันเอาความรู้ที่ได้จากหมอเมือง ผนวกการกินตามสูตรแมคโครฯ และ ประกอบ กับดิฉัน เป็น นักมังสวิรัติ แต่เดิม จึงออกมา เป็นการกินเพื่อสุขภาพอย่างองค์รวม

ดิฉันได้ตำราอาหารแมคโครฯ มาสองเล่ม สามีของละม่อม เป็นคนให้ เขาเล่าว่า …แรกซื้อตำรามาให้ละม่อมอ่าน แล้วให้กินอาหารตามสูตรแมคโครฯ เพื่อรักษาโรคมะเร็ง ละม่อมมีทีท่าว่า จะดีขึ้น และ มีสิทธิ์รอดตายหากทำได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ละม่อมทำได้ไม่นานก็ล้มเลิก สยบยอมให้ กับโรคร้าย ความอร่อยไม่มีในสูตรการกินอย่างแมคโครฯ สิ่งที่เน้นส่วนใหญ่ เป็นเมล็ดธัญพืช จำพวกข้าว ถั่วต่างๆ และ งา รสอาหารคือจืดสนิท เป็นรสธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง

สำหรับผู้ติดในรสอาหารอย่างมาก และ ไม่เอาจริง นับว่า เป็นเรื่องยาก หากจะกินอย่างแมคโครฯ ให้ตลอดรอดฝั่ง สามีของ
ละม่อมเห็นว่า ดิฉันมีใจที่เข้มแข็ง เอาจริง จึงมอบหนังสือให้เพื่อรักษาตัวเอง

ช่วงแรกของการกินอย่างจืดสนิท เป็นสิ่งที่ผะอืดผะอม ข่มใจฝืนกล้ำกลืนน่าดู

ดิฉันติดน้ำพริกผักลวก เป็นชีวิตจิตใจ แต่ด้วยเงื่อนไขแห่งโรคร้าย จำต้องพรากจากอาหารหลักอย่างอาลัย ทำอาหารกินเอง
ทุกวัน…ข้าวกล้อง ข้าวเหนียวดำ ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ลูกเดือย รำอ่อน งาป่น และ ฟักทอง นำมารวมตุ๋นในหม้อเดียวกัน สัดส่วนพอประมาณกินคนเดียว เพราะไม่มีใครกินด้วย

“ฉันเห็นอาหารพี่ปรานีแล้วรู้สึกขนลุก” น้องสาวดิฉันพูด

“พี่กินได้ยังไงทุกวัน แค่ฉันได้เห็นก็จะอ้วกแล้ว อย่าว่า แต่กินเลย”

“มันจำ เป็นต้องกิน ไม่กินก็ตาย” ดิฉันพูด

มันไม่ชวนกินอย่างน้องว่า สีมันออกดำคล้ำ มันน่าผะอืด-ผะอมขนาดไหน ดิฉันเองยังต้องกินอย่างปฏิบัติธรรม ตักข้าวเข้าปากคำก็อบรมใจไปด้วยว่า “เรากินเพื่อมีชีวิตอยู่ทำความดี รักษาศีลปฏิบัติธรรม อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน กินไม่ปรุงแต่ง ได้ฝึกใจลดละกิเลส ล้างอุปาทานซึ่งติดในรสอร่อย และ ที่สำคัญ ไม่กินก็ตายไว” นานวันเข้า ดิฉันก็กินอาหารสูตร “กันตาย” ได้อย่างไม่ต้องฝืน

การรักษาอารมณ์ และ จิตใจ เป็นเรื่องสำคัญมากในการรักษาโรคมะเร็ง…คนประเภทโกรธง่าย เครียดจัด มักตายไว ท้อถอย หมดพลังใจ สิ้นหวัง…อยู่ได้ไม่นานเช่นกัน

ดิฉันเตือนสติตัวเองเสมอ วันนี้จะต้องไม่โกรธใคร ไม่เครียด เปิดเท็ปธรรมะฟังอยู่เรื่อยๆ ทำจิตทำใจให้สงบ คิดถึงแต่สิ่งดีงาม เป็นบุญ เป็นกุศล ให้กำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ เพื่อทำดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

เป็นผลของกรรมดีที่ดิฉันฝึกปฏิบัติธรรมมาก่อน เป็นมะเร็ง ทำให้สามารถควบคุมอารมณ์ ปรับจิต ยามเผชิญ สถานการณ์ เลวร้ายได้พอควร

เคยฟังมาว่า สาเหตุของการป่วยนั้น ๗๐ เปอร์เซ็นต์ มาจากใจ หากทำใจให้ดี แม้ เป็นโรคร้ายก็อาจหายได้ จุดนี้ ดิฉัน ให้ความสำคัญ เป็นที่สุด เพราะ เป็นหัวใจของการรักษาสุขภาพ

การทำงานเสียสละ เป็นบุญ มีส่วนช่วยเสริมพลังใจให้ดิฉัน นับจากวันป่วยหนัก ไปช่วยงานที่ ชมร. ไม่ได้ กระนั้นก็ยังอยากมีส่วนร่วมในงาน ร้านขายอาหารเราใช้ระบบคูปอง ดิฉัน จึงรับคูปอง เป็นปึกๆ มาช่วยปั๊มตรายางที่บ้าน

ดิฉันเห็นคุณประโยชน์จากงานเล็กน้อยที่ทำ เพราะมีส่วนช่วยคนให้ได้กินอาหารที่ เป็นบุญ ช่วยชีวิตสัตว์ และ ดีต่อสุขภาพ

ภายในห้องนอนของดิฉัน…โต๊ะ ตู้ สิ่งของต่างๆ ถูกย้ายออกไปหมด ทำให้โล่งโปร่ง ดิฉันนอน กับพื้น ปึก คูปอง กองอยู่ข้างกาย เพื่อสะดวกในการทำงาน รู้สึกเหนื่อย และ เจ็บหน้าอกเมื่อไหร่ ล้มตัวนอนมันตรงนั้น หายแล้ว ลุกมาทำงานต่อ…พร้อม กับเปิดเท็ปธรรมะฟังไปด้วย

ข้างกายมีพัดลมอีกสองตัว เอาไว้เป่ายามพิษมะเร็งกำเริบ มันเจ็บปวดทรมานร้อนผ่าวทั้งกายเหมือนมีไฟสุมอยู่ในอก ต้องกัดฟันสู้มันแทบกลั้นใจตาย บ่อยครั้งที่ความเจ็บปวดมันมากมาย คล้ายเรือนกายจะทนรับไม่ไหว ความคิด ประหวัดถึงพระคุณเจ้าผู้คอยอบรมให้ดิฉันทำดี จุดแสงสว่า งบนเส้นทางชีวิต ดิฉันตั้งจิตอธิษฐาน หาก
รอดตายครั้งนี้ จะอุทิศตนเพื่อศาสนา สั่งสมกรรมดีตราบสิ้นใจ

ศาสนา เป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิต เป็นขุมแห่งพลังใจ เป็นความหวัง เป็นทุกสิ่ง

ดิฉันไม่นอนซมรอวันตาย พยายามทำตัวอย่างคนปรกติ ฝืนสู้ กับสังขาร ออกจากห้องนอน ค่อยๆ ก้าวเดินลงบันใด มือเกาะเกี่ยวหาที่พยุงกาย มิให้หัวทิ่มล้มคะมำ กว่า จะถึงพื้นล่างก็หอบแฮก ล้มหงายลงที่โซฟา หายใจพะงาบๆ เหมือน ปลาถูก จับโยนขึ้นบก จะกลับขึ้นห้องนอนก็ต้องวานน้องสาวให้พยุงส่งกลับห้อง ดิฉันชอบ ที่จะเดิน ออกนอกบ้าน เป็นประจำ ทรงกายแทบจะไม่ไหว แต่ก็ไปอยู่เรื่อย เดินเลียบตามริมรั้ว มือเกาะพยุงกาย ทุกครั้งที่เห็นหมา ดิฉันจ้องมองมัน ระวังตัวแจ เพราะหากมันวิ่งเข้าชน มีหวังล้มแผละแน่นอน

ตามที่หมอทำนายไว้ ไม่เกิน ๖ เดือน ดิฉันตายแน่

แต่ดิฉันทนทรมานผ่านมาได้ ๘ เดือนแล้ว และ มีทีท่าจะ ดีขึ้นเรื่อยๆ ผลจากการบำบัดโรคด้วยสูตรอาหาร “กินกันตาย” รู้สึกพิษมะเร็งจะถดถอย จากที่เจ็บปวดหน้าอกซีกซ้าย และ ร้อนผ่าว ทั้งตัว อาการตัวร้อนหมดไป คงเหลือ ไว้แต่ความ เจ็บปวด

ดิฉันสังเกตเห็นว่า เท่าที่ผ่านมา ความเจ็บปวดไม่ลดเลย มันทรมานดิฉันได้อย่างคงเส้นคงวา จำทนสู้ต่อไป เพราะ ยังหาวิธี รักษามากกว่า นี้ไม่ได้

แล้วสวรรค์ก็เข้าข้างดิฉัน เหมือน เป็นบุญเก่าช่วยไว้ ทำให้ความเจ็บปวดมลายไป

เด็กหนุ่มข้างบ้านคนหนึ่ง ชื่อ “เอ๋” เขาสนิทสนม กับดิฉัน เป็นอย่างดี และ รู้ว่า ดิฉัน เป็นมะเร็ง เอ๋ พบหนังสือ เล่มหนึ่ง ในร้านขาย หนังสือ เป็นตำราว่า ด้วยดื่มน้ำฉี่รักษาโรค… เอ๋ตัดสินใจซื้อมาฝากดิฉัน เอ๋มาที่บ้าน อ่านหนังสือ เล่มนั้น ให้ดิฉันฟังจนจบ

ครั้งแรกฝืนอยู่เหมือนกัน จิตมันรังเกียจ มองแก้วน้ำฉี่ในมือแล้วก็ทำใจ

“แก้วน้ำเราสะอาด น้ำฉี่ก็ เป็นน้ำสะอาดที่เราดื่มเข้าไปเก็บไว้ในร่างกายช่วงหนึ่ง ไม่เห็นต้องรังเกียจ”

ดิฉันบอกตัวเอง แล้วดื่มมันลงไปอย่างผะอืดผะอมในครั้งแรก พอนานเข้าก็ไม่ต้องฝืน ดื่มได้ เป็นปรกติเหมือนน้ำเปล่า
หลังทดลองดื่มน้ำฉี่ได้เพียง ๓ อาทิตย์ อาการเจ็บที่หน้าอกหายเป็นปลิดทิ้ง

ดิฉันดีใจอย่างบอกไม่ถูก น้ำฉี่นี้ดีจริง เห็นผลทันตา ไม่ให้เชื่อจะได้ หรือ ในเมื่อพิสูจน์ด้วยตนเองเช่นนี้ สูตรการรักษาสุขภาพ
ส่วนตัวของดิฉัน จึงเพิ่มการดื่มน้ำฉี่ เป็นยาอีกขนานหนึ่งที่ง่ายมาก และ ไม่ต้องจ่ายเงิน เพียงดื่มน้ำเปล่าให้มากเข้าไว้ ตัวยาก็จะได้ปริมาณมากขึ้น หากควบคุมอาหารให้ดี ไม่กินปรุงแต่งจัดจ้านเกิน น้ำฉี่ จะมีรสชาติ กลมกล่อม ดื่มได้คล่องคอทีเดียว

ดิฉันตัดขาดจากโรงพยาบาล นับแต่รักษาด้วยตนเอง ไม่คิดไปหาหมอที่ไหนอีก เรียนรู้จนได้หลักการรักษาโรคร้ายส่วนตัว โดยสรุป เป็นหลักการเฉพาะตนได้ว่า การรักษาจิตใจให้ดีงามมา เป็นอันดับแรก คงไว้ซึ่งศีลธรรม เชื่อมั่นในกรรมอัน เป็นบุญกุศล รักษาอารมณ์แจ่มใส ให้กำลังใจตนในการฝืนสู้อย่างอดทน รองมา เป็นน้ำฉี่ ดิฉันไม่คลางแคลงว่า ดีจริง และ พระคุณเจ้าก็เคยบอกว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะให้ภิกษุดื่มน้ำฉี่ เป็นยารักษาโรค มีบอกไว้ ในพระไตรปิฎก และ ไม่เฉพาะดิฉัน หลายคนก็พิสูจน์แล้วว่า ดีจริง การควบคุมอาหาร ดิฉันจัดให้อยู่อันดับสาม เพราะหากกินอย่างไม่เลือก สุขภาพก็ย่ำแย่ อาหารในโลกปัจจุบัน พิษภัยมีมากเหลือเกิน จำพวกจานด่วน ปรุงรสจัดจ้านเกินไปควรเลี่ยง เนื้อสัตว์ทุกวันนี้เจือมาด้วยฮอร์โมน และ สารพิษ ไม่ เป็นผลดีต่อสุขภาพ
ตายไว หันมากินมังสวิรัติจะดีกว่า เพราะมีคุณหลายอย่าง โยงใยไปถึงจิตใจ และ สุขภาพ

อาหารที่เรากินมีส่วนผกผันจิตได้เหมือนกัน สังเกตได้ว่า สัตว์กินเนื้อมีนิสัยโหดร้ายรุนแรง ต่างจากสัตว์กินพืชที่สงบเสงี่ยม
เจียมตัว คนเราก็เฉกนั้น ไม่ต่างจากสัตว์หรอก อาหารที่ปรุงรสจัดจ้าน ส่งผลต่ออารมณ์คนเราได้เช่นกัน เรื่องนี้ นักวิชาการ พิสูจน์แล้วว่า เป็นจริง โดยการทดลอง กับนักโทษในเรือนจำ ให้นักโทษ กลุ่มหนึ่งกินอาหารรสจัด หวานจัด ส่วน อีกกลุ่ม ให้กินรสจืด… ปรากฏว่า นักโทษกลุ่มแรก พฤติกรรมอารมณ์เปลี่ยน เป็นรุนแรง ก้าวร้าว ขณะกลุ่มที่สองดูสงบเรียบร้อยขึ้น

การควบคุมอาหารมีส่วนช่วยควบคุมอารมณ์ไปในตัว ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “อาหาร เป็นหนึ่งในโลก” หรือ อย่าง ที่ปราชญ์ ตะวันตกพูด เป็นสากลว่า “เรา เป็นอย่างที่เรากิน”

ถึงกระนั้น ดิฉันคิดว่า การรักษาสุขภาพที่ดี คงมิใช่เลือกเอาแต่สูตรใดสูตรหนึ่งเดี่ยวๆ หากแต่ เป็นการรักษาอย่างองค์รวม เสริมหนุนกัน เป็นสภาพสมดุล ทั้งสุขภาพจิตสุขภาพกาย และ อาหาร

การกินอาหารที่ไม่ เป็นโทษ ย่อมส่งผลให้สุขภาพกายดีตาม ไม่ เป็นโรค เรือนกายที่แข็งแรง เป็นที่สถิต ของจิตวิญญาณ เข้มแข็ง และ จิตที่เข้มแข็งก็ เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง มาถึงวันนี้ ดิฉันเชื่อแล้วว่า เราสามารถ เป็นหมอให้ตัวเองได้ และ คนทั่วไปก็น่าจะทำได้ ถ้าเราเอาจริงเสียอย่าง

ดิฉันกลาย เป็นคนที่ศรัทธาน้ำฉี่อย่างออกนอกหน้า… หลังจากมันทำให้ความเจ็บปวดจากพิษมะเร็งชะงักทันตา พบใครก็บอกเขาไปทั่ว ว่า ดื่มน้ำฉี่รักษาโรคหายได้จริงๆ แต่หลายคนส่ายหน้า แสดงความรังเกียจ ดิฉันเข้าใจ หากไม่จวนตายจริงๆ คงไม่เลือกวิธีนี้รักษา ของสิ่งใดที่ใจตั้งแง่รังเกียจไว้แล้ว ต่อให้ของนั้นมีคุณประโยชน์ ก็ยังยากทำใจให้ยอมรับ แม้ไม่มีใครเอาด้วย ดิฉันก็ไม่ท้อ และ ไม่เที่ยวพูดพร่ำเพรื่อ ชักชวนคนดื่มน้ำฉี่เหมือนก่อน จะแนะนำเฉพาะคนที่มาไถ่ถาม ส่วนตัวดื่มประจำอยู่แล้ว การรักษาสุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่พ้นผ่าน จากเดือนเลื่อน เป็นปี ความตายค่อยๆ ถอยร่นห่างออกไป เหมือนแสงสว่า งของดวงตะวัน ค่อยๆ ขับความมืด แห่งราตรี ให้หมดไป ดิฉันรู้สึกราว กับว่า ได้ชีวิตกลับคืน มาอีกครั้ง ได้มีโอกาสสั่งสมบุญบารมี เห็นคุณค่าของการมีชีวิตมาก ยิ่งขึ้น หลังผ่านพ้น การสู้ทนทรมาน ผลที่ได้จากการต่อสู้ มันคุ้มค่าเกินจะบรรยาย เป็นสิ่งประเสริฐสุดในชีวิตเราก็ว่า ได้ และ เป็นกรรมดีติดตามเราไปทุกภพชาติ นี้แหละทรัพย์แท้ของมนุษย์


  เมื่อฉันเป็นมะเร็ง
   [เลือกหนังสือ]
page: 7/10
   Asoke Network Thailand