เมื่อฉันเป็นมะเร็ง...
ส.
ลักขิตะ
คง เป็น เพราะโชคชะตา
ชักพาชีวิตดิฉันให้มารู้จักคบคุ้นผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มหนึ่ง
กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม เป็นนักมังสวิรัติทุกคน มีศาสนา เป็นเครื่องร้อยรวมจิตใจเข้าด้วยกัน
รักษาศีลปฏิบัติธรรม ช่วยเหลือซึ่งกัน และ กันเสมือนเครือญาติ
เรา เรียกว่า ญาติธรรม
ดิฉัน เป็นญาติธรรมคนหนึ่ง กิจกรรมบำเพ็ญบุญเหล่าใด ที่กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมจัดขึ้น
เราทุกคนไปร่วมแรงกันทำ เรามีทั้งการลดละกิเลสในตัวเอง และ การทำงานเสียสละเพื่อสังคมส่วนรวมควบคู่กันไป
ร้านอาหารมังสวิรัติ หรือ ชมร.เชียงใหม่ ขายอาหารเพื่อสุขภาพ
และ เป็นบุญในราคาถูกมาก รูปทรง ของร้านแบบ ไทยล้านนา เป็นโรงเรือนขนาดใหญ่ชั้นเดียวติดพื้นดิน
หลังคามุงแผ่นไม้เกร็ด พื้นปูกระเบื้อง รอบข้าง ปล่อยโล่ง
ร้านอยู่ติดริมถนน
สายอ้อมเมืองเชียงใหม่ ทางไปสนามบิน
ดิฉันออกจากบ้านแต่เช้ามืด
ขึ้นรถเดินทางมาช่วยงานที่ร้าน
เป็นแม่ครัวคนหนึ่งในทีมงาน เพื่อนร่วมงานมีทั้งหนุ่มสาว แก่เฒ่าวัยเดียว
กับดิฉันก็มี เรายิ้มแย้มแจ่มใส ยกมือไหว้ทักทายเมื่อแรกพบหน้ากันในยามเช้า
ทุกคนจัดสรรตัวเองเข้าทำงานตามแผนกที่รับผิดชอบ บ้าง เป็นแม่ครัว
คนขายอาหารหน้าร้าน
คนล้างจาน และ อีกหลายๆแผนก ต่างช่วยงานกันคนละไม้ละมือ
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะช่วยปอกผลไม้ หั่นผัก เตรียมเครื่องแกงให้แม่ครัว
บรรยากาศ ภายในร้าน อบอุ่น เป็นพี่ เป็นน้อง สนทนาพูดคุยเริงรื่นชื่นใจ
กับการงานอัน เป็นบุญ
ดิฉันรับหน้าที่หั่นผัก ทำสลัดผัก เป็นงานหลักที่ทำประจำ ฝีมืออร่อยเลิศอย่าบอกใคร
ดิฉันรู้สึก เป็นสุขที่ได้มาช่วยทำงานนี้ ได้มาคบคุ้นเพื่อนรุ่นเดียวกัน
สนทนาธรรมสู่กันฟัง แนะนำ วิถีการดำเนินชีวิต ไปในทางกุศล ภายในร้านมีการเปิดเทปธรรมคำสอนผ่านเครื่องขยายเสียงให้ได้ยินกันทั่ว
พระธรรมคำสอน ทำให้ดิฉันเข้าใจสัจจะชีวิตหลาย ๆ อย่าง จิตใจสงบเย็นกว่า
แต่ก่อน
หากวันนั้น
ดิฉันไม่หันเหชีวิตมาทางธรรม ป่านนี้อาจเป็นบ้าไปแล้วก็ได้
การสูญเสียลูกคนเล็กทำให้ดิฉันหมดพลังใจสู้ชีวิต
ดิฉันกลาย เป็นคนจมอยู่แต่ กับความทุกข์ มีชีวิตแต่ไม่มีชีวา
ประหนึ่งตายทั้ง
เป็น หลังจากได้ยินเต็มสองหูว่า ลูกคนเล็ก
เสียชีวิตแล้ว
แกตายเมื่อไหร่ เพราะอะไร ดิฉันร้องถามปู่ทั้งน้ำตาในวันนั้น
หลังแม่ปรานีลงกรุงเทพฯ เพียงไม่กี่วัน ปู่พูดเสียงเศร้า
มันก็ เป็นโรคปอดบวมตาย คง เพราะแช่น้ำในอ่างมากไป ข้าก็ไม่คาดคิดว่า
มันจะ เป็นเช่นนี้ กว่า จะรู้ว่า มัน เป็นปอดบวมก็สายเสียแล้ว
แล้วศพลูกฉันล่ะ เอาไปไว้ไหน
เก็บไว้นาน เกรงมันจะเน่าส่งกลิ่น ไม่ดีแน่ ข้า จึงรีบจัดการ
ทำพิธีเผาให้มันเสร็จๆ ไปเสียที่วัด เพราะขืนรอแม่ปรานีก็คง
อีกหลายวัน
เป็นช่วงชีวิตที่เลวร้ายอย่างที่สุดของดิฉัน สามีทิ้งไปอยู่
กับผู้หญิงอื่นได้ไม่นาน ลูกคนรองก็ล้มหายตายจาก คราบน้ำตายัง
มิทันจะลบเลือน ลูกคนเล็กพลันตายตามไปเสียอีกคน ไม่เข้าใจว่า
ทำไมชะตาชีวิตช่างโหดร้ายเช่นนี้
ดิฉันต้องเผชิญการสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า เสียใจแทบเสียสติ
แต่ยังต้องหยัดยืนฝืนสู้ เพราะยังเหลือลูกสาวคนโตที่ต้องดูแล
นอกจากนี้...ดิฉันก็แทบไม่เหลือสิ่งใด
ดิฉันหาบเนื้อหมู เครื่องในหมู ออกเร่ขายไปตามชุมชน
ดวงหน้าซีดเขียวดุจคนอดนอนมาแรมปี
เดินดุจคนไร้วิญญาณ ตามองเหม่อ ภาพของลูกที่ตายจากปรากฏอยู่ในห้วงความคิดเหมือนฉายหนังซ้ำๆ
น้ำตาไหลพราก เมื่อคิดถึงวันคืนเก่าๆ เฝ้าแต่ถามว่า ทำไมชีวิตต้อง
เป็นเช่นนี้ มีแต่การพลัดพราก รู้สึกอ่อนล้าทั้งใจ และ กาย คล้ายแท่งเทียนถูกลน
ความโศกเศร้าทับถมใจไม่คลายจาง สมองเขม็งตึงดุจเกลียวเชือก ดิฉันเครียดจัด
สายใย แห่งสติสัมปชัญญะ แทบขาดผึง หลายคืนแล้วที่นอนไม่หลับ
กลืนก้อนข้าวไม่ค่อยจะลงคล้ายมีบางอย่างจุกคาคอ พร่ำเพ้อถึงลูกที่มาด่วนตายจากแทบทุกลมหายใจ
ขณะที่หาบของเดินบนถนนอยู่นั้น เหมือนความทุกข์ทั้งมวลในโลกโถมทับลงมาบนสองบ่าของดิฉัน
มันหนักอึ้งเกิน
แบกรับได้ เข่าอ่อนยวบ ร่างทรุดฮวบลงกอง กับพื้น สติดับวูบ
เป็นช่วงเวลาที่ถนนว่า งคนสัญจร ดิฉันสลบไปครู่ใหญ่ไม่มีใครเห็น
คนเราเมื่อชะตาตกอับอย่างถึงที่สุด ชีวิตดู จะเลวร้าย ไปเสียทุกอย่าง
โชคดีเหมือนจะหนีหายไปสิ้น มือของนักบุญที่จะโอบประคองช่วยเหลือก็ยังไม่ปรากฏ
ดิฉันรู้สึกตัวสติคืนกลับ
รวบรวมพลังใจอันกระจัดกระจาย ประคองกายยืนขึ้นอย่างลำเค็ญ
ยกหาบของขึ้นบ่า บังคับขาอันสั่นเทาให้ก้าวเดินไปข้างหน้า เค้นพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายออกมาสู้
ดิฉันยังเหลือลูกสาวอีกคน เศร้าเสียใจปานใดก็มิอาจหยุด ต้องหาบของเร่ขายเลี้ยงปากท้องต่อไป
แม้จะเวทนาตัวเองสักปานใด ดิฉันก็ซับน้ำตา ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม
ประหนึ่งนักโทษยอมรับผิด
เพื่อนบ้านต่างมาปลอบขวัญ และ ให้กำลังใจ... พวกเขามาถามไถ่พูดคุยให้ดิฉันคลายเศร้า
ทุกครั้งที่กลับเข้าบ้าน กวาดสายตาไปเห็นของเล่นของใช้ของลูก
ภาพลูกพลันผุดพรายขึ้นมาในหัว น้ำตาดิฉันร่วงเผาะทันที เพื่อนบ้านก็ช่วยกันเก็บซ่อนสิ่งของ
อันกระทำให้สะเทือนใจเหล่านั้น ทำให้ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตได้บ้าง
ดิฉันย้ายบ้านเข้าไปอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ เพราะพ่อทราบข่าวความลำบากของดิฉัน
จึงพาดิฉัน และ ลูกสาวไปอยู่ กับคุณย่าในเมือง
แม้จะเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ ความเศร้าเสียใจก็มิได้ทุเลาเบาบางลง
มันคล้ายจับ เป็นก้อน ฝังแน่นอยู่ในอก กัดแทะชีวิตดิฉันอยู่ตลอดเวลา
ตอกย้ำความขมขื่น และ ขุดคุ้ยอดีตขึ้นมาคิด
ดิฉันรู้ว่า ตัวเองใกล้บ้าเข้าไปทุกที... มิอาจถอนตนจากห้วงทุกข์ระทมได้
ดิฉันคิดมาก เครียดมากจนหัวร้อน นอนไม่หลับ
เหมือนมีกองเพลิงสุมอยู่ในอก ตาแข็งค้างตลอดทั้งคืน เส้นเลือดเลี้ยงสมองเต้นตุบ
ๆ เหมือนจะระเบิดทุกเส้นสาย
รู้สึกเหมือนตัวเองถูกบางอย่างกดบีบอยู่ตลอดเวลา ดิฉันทนฟังเสียงใดๆ
ไม่ได้ เสียงที่คนทั่วไปฟังว่า เป็นเสียงปรกติธรรมดา แต่สำหรับดิฉันมันแทบบ้าคลั่ง
คนข้างบ้านมีอารมณ์สุนทรี เขาตีระนาดไพเราะสำหรับเขา แต่สำหรับดิฉันมัน
เป็นเสียงนรก ดิฉันขอร้องให้เขาหยุดตี พร้อมแจ้งเหตุผลว่า เสียงของมันกำลังจะทำให้ดิฉัน
เป็นบ้า และ ปวดหัวเหมือนกะโหลกจะแตก เป็นเสี่ยงๆ โชคดีที่เขาเข้าใจสภาพจิตของดิฉัน
นอกจากอาการนอนไม่ค่อยจะหลับ ดิฉันยังรู้สึก ปวดหัว และ ปวดท้อง
ดิฉันไปให้หมอตรวจหาเหตุแห่งโรคที่โรงพยายาล
หลังเสร็จการวินิจฉัย
ดิฉันเดินทางกลับบ้าน พร้อม กับยา แก้โรคกระเพาะ
ดิฉันไม่โทษว่า ยาหมอไร้คุณภาพ ทว่า อาการป่วยของดิฉันยังอยู่เช่นเดิม
หลังกินยาหมดเกลี้ยง แต่เหมือนไม่ได้รักษาอันใด
และ ดิฉันใกล้บ้าเต็มทน
ดิฉันตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ไปหาจันตา เธอ เป็นญาติของดิฉันคนหนึ่ง
อาศัยอยู่เขตอำเภอแม่ริม ห่างตัวเมือง เชียงใหม่ ออกไปหลายกิโล
จันตาช่วยฉันที
ไม่ไหวแล้ว ฉันกำลังจะบ้า ดิฉันพูดกรอกหูโทรศัพท์
แม่ปรานีทำใจให้เข้มแข็งไว้ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น ทำตัวให้ผ่อนคลาย
มันไม่เลวร้ายเกินไปหรอก
เชื่อฉัน เดี๋ยว จะเอารถ ออกไปรับที่บ้าน แล้วไปหาหมอด้วยกัน
เสียงเธอตอบกลับมาตามสาย
คืนนี้ก็เช่นทุกคืน
ดิฉันนอนไม่หลับ กระทั่งเวลาล่วงเลยถึงตีห้า
ฟ้ายังมืดสลัว รถของจันตาวิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้าน แล้วพาดิฉันออกจากบ้านไปในเช้าวันนั้น
จันตาพาดิฉันเข้าพบจิตแพทย์ ชาวบ้านทั่วไปรู้จักนามหมอโรคประสาท
รักษาคนไข้ที่มีอาการเกี่ยว กับโรคจิต หรือ ใกล้บ้า
หมอถามถึงอาการป่วย และ พูดคุย กับดิฉันหลายอย่าง จากนั้น ก็จัดยาให้
เสร็จแล้วเราก็กลับ ดิฉันกินยาตามที่หมอแนะนำ ไม่รู้หรอกว่า
ตัวยานั้นชื่ออะไร แต่กินแล้วมีอาการดีขึ้น ความเครียดจางลง
ความอึดอัดแน่นในอกค่อยๆ ทุเลา สุขภาพกายฟื้นคืน เช่นแต่ก่อน
ดิฉันกินได้นอนหลับ สีหน้าผ่องใส มีชีวิตชีวาขึ้น คล้าย เป็นผู้
เป็นคนบ้างแล้ว
ดิฉันทนฟังคลื่นเสียงดังๆ ได้แล้ว ไม่อึดอัด และ ไม่ปวดหัว
ในที่สุดดิฉันก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ไม่ต้องกลาย เป็นคนบ้า
เส้นทางชีวิตหักเหหลังจากได้ฟังสัจธรรม
ผ่านพ้นวิกฤตของการสูญเสียมาได้ ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ถึงทุกข์ของการพลัดพรากจากสิ่งอัน
เป็นที่รักยิ่ง ทั้งลูก และ สามี พวกเขาสอนให้ดิฉันรู้จักปล่อยวาง
เข้มแข็ง อดทนต่ออุปสรรค ดิฉัน ได้เรียนรู้ อะไรมากมาย จากประสบการณ์ชีวิต
ที่แสนจะขมขื่น
ดิฉันยังต้องทำงานหนัก เพื่อหาเลี้ยงปากท้องของตน และ ลูกสาว
จำได้ว่า เคยทำการค้า หลายรูปแบบ
นับแต่ ค้าเนื้อหมู
ชงกาแฟขาย
ขายล็อตเตอรี่
ฯลฯ แล้วมาหยุดอยู่ กับกิจการเปิดร้านขายของชำ
คุณบังอร เป็นลูกค้า และ เพื่อนบ้านที่สนิทสนม
วันนั้นคุณบังอรมาที่ร้านของดิฉัน เธอส่งม้วนเท็ปให้สองตลับ
บอกว่า เป็นเท็ปเพลงของนักร้องสุรพล ให้ดิฉัน ลองเอาไปเปิด ฟังดู
ถ้าชอบใจเธอยินดีขายให้ ๗๐ บาท
ดิฉันรับม้วนเท็ปนั้นไว้ เพราะชอบฟังเพลงอยู่แล้ว สุรพล สมบัติเจริญ
เป็นนักร้องคนโปรดของดิฉัน เมื่อนำม้วนเท็ป มาใส่เครื่องเสียง
เปิดฟัง
ดิฉันพลันคลางแคลงใจ กับเสียงที่ได้ยิน เพราะมันไม่ใช่เสียงเพลง
หรือ เสียงของ สุรพล ดังคาดหวังไว้ แต่กลับ เป็นเสียงพระเทศน์
แสดงธรรมให้ลดละกิเลส
|