[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 2/10

สารบัญ
[1] |
[2]
|
[3]
|
[4]
|
[5]
|
[6]
|
[7]
|
[8]
|
[9]
|
[10]

เมื่อฉันเป็นมะเร็ง... ส. ลักขิตะ 

เฝ้าครุ่นคิดไปต่างๆ นานา และ ดูเหมือนจะแสวงหาคำอธิบายใดๆ จากคนข้างกายไม่ได้เลย ต่างปกปิดความจริง ด้วยว่า ห่วงใยสุขภาพจิตของดิฉัน แต่สิ่งหนึ่งที่ประจักษ์ ความเจ็บปวด และ ร้อนเร่าภายในทรวงอก เป็นสัมผัส แห่งความทรมาน ที่รุนแรง ขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่า จะบรรเทาลง

ดิฉันรู้ว่า ตัวเองกำลังเผชิญหน้า กับความตายที่มองไม่เห็น มันฝังตัวอยู่ในกายที่หน้าอกด้านซ้าย กัดแทะ สังขาร ของดิฉัน อย่างไม่ปรานี ปราศรัย ยาที่หมอให้มามิได้ช่วยให้อาการดีขึ้น …โรคร้าย มันไม่ยอมสยบ ยังคงทำหน้าที่ นำพาดิฉัน ไปสู่ความตาย อย่างต่อเนื่อง

หนึ่งเดือนผ่านไป เหมือน กับมีความตายนั่ง เป็นเพื่อน และ พูดคุยอยู่ กับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ในคืนที่ดิฉันได้รู้ความจริง ทุกอย่าง… ยุภาพรอยู่ในห้องนอนของเธอเพียงลำพัง ดิฉันเปิดประตูห้อง ก้าวเข้าไป บอก กับน้องสาวว่า ขอคุยด้วยอย่างเปิดใจ… ยุภาพรรู้ว่า ดิฉันต้องการคุยด้วยเรื่องอันใด รอยยิ้มน้องสาวเปลี่ยน เป็นหม่นเศร้าทันที

ดิฉันตั้งคำถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจมานานแรมเดือน…

“พี่จะเสียใจมั้ย หากรู้ว่า อาจต้องเสียชีวิตในอีกไม่กี่เดือน ข้างหน้านี้ พี่จะทำใจได้มั้ย ?” ยุภาพรพูด

“พี่จะเสียใจไปทำไม ในเมื่อชีวิตคนเราเกิดมาก็ต้องตายกัน ทุกคน” ดิฉันตอบ แล้วพูดเสริมอีกว่า

“พี่ฟังเทศน์ฟังธรรมมาก็มาก ฝึกปฏิบัติธรรมมานานพอควร ผ่านทุกข์ร้อนสาหัสมากมายในชีวิต น้องเองก็รู้ดี ความขมขื่นที่ผ่านมา ทำให้พี่รู้จักปลงวาง และ ยอมรับสภาพเลวร้ายได้เสมอ”

“ถ้าพี่ปล่อยวางได้อย่างว่า ฉันก็จะบอกความจริง” ยุภาพรกล่าวน้ำเสียงสร้อยเศร้า ถอนใจเบาๆ

“น้องพูดความจริงมาเถอะ เพื่อพี่ได้รู้ จะได้หาทางเยียวยา ตัวเองได้บ้าง ถ้ารู้ว่า ต้องตายแน่ๆ ก็จะได้เตรียมทำใจไว้แต่เนิ่นๆ”

ดิฉันเดินวนอยู่ภายในห้องนอนราวเสือติดจั่น คืนนี้ยากที่จะล้มตัวลงนอนได้ ครุ่นคิดถึงชีวิต และ ความตาย ีวิธีใดบ้าง ที่จะรักษา โรคร้ายนี้ได้ คิดไปต่างๆ นานา ทว่า ยังมืดมน ดุจเดินวนอยู่ในถ้ำ อันมืดมิด

เมื่อยังไม่รู้ความจริง จิตยังสงบนิ่ง แต่แล้วก็ต้องหวั่นไหวดุจสนต้องลม เมื่อน้องสาวบอกความจริงว่า

“พี่ เป็นมะเร็งที่ปอดซีกซ้าย…”

ดิฉันรู้จักโรคมะเร็งดี และ รู้ด้วยว่า ไม่มีทางรักษาหาย มีคนจำนวนไม่น้อยที่สังเวยชีวิตให้ กับโรคร้ายนี้ ทุกคนที่ เป็นเท่าที่เห็นมา ได้แต่รอวันจากโลกนี้ไปอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส

อายุปาเข้าไป ๖๐ แล้ว ยังต้องมาเผชิญ กับโรคมะเร็ง… ชะตาชีวิตนี้ช่างโหดร้ายนัก ไยด่วนตัดรอนเช่นนี้

ดิฉันมิได้กลัวตาย แต่รู้สึกเสียดายช่วงชีวิตในวัยชรา แม้จะเหลืออีกไม่มาก แต่ดิฉันก็ยังต้องการสั่งสมผลบุญ ทำงานเสียสละ รักษาศีล และ ปฏิบัติธรรม

จะไม่ให้เสียดายได้อย่างไร… ชีวิตในอดีตดิฉันทำบาปไว้มากมาย ครั้นได้มาพบกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม มิตรดีสหายดี ได้เข้าใจธรรมอัน เป็นเนื้อแท้ของพุทธเอาเมื่ออายุปูนนี้ บุญกุศลที่สั่งสมยังมิเทียบเท่าบาปที่ทำไว้เสียด้วยซ้ำ แล้วนี่ต้องมาด่วนตายด้วยโรคมะเร็ง หรือ ?

สายธารแห่งความคิดยังหลั่งไหลไม่หยุด..ดิฉันยังคิดสงสัย เพราะจากที่ได้ยินได้ฟังมา คนที่กินเนื้อสัตว์มีอัตราเสี่ยง เป็นโรคมะเร็งสูง ส่วนนักมังสวิรัติอย่างดิฉันไม่น่าที่จะ เป็นโรคร้ายนี้ มันคงมีเหตุปัจจัยอื่น เป็นที่ก่อมะเร็งขึ้นในร่างกาย… ดิฉันครุ่นคิด และ ย้อนระลึกทบทวนชีวิตในอดีตจากวันนั้น… จวบวันนี้ที่ดิฉัน เป็นมะเร็ง

ดิฉันเกิดที่จังหวัดเชียงราย…

พ่อ เป็นนายตำรวจ ภายหลังสงครามโลกที่สองก็ลาออก หันมาจับอาชีพค้าเนื้อสัตว์ หาบหมูขาย ส่วนแม่ เป็นผู้หญิง ที่ขยันมาก หารายได้เสริมด้วยการขายข้าวแกง

ฐานะครอบครัวมีกินมีใช้ไม่ขัดสน ดิฉัน เป็นพี่สาวคนโต มีน้อง ๔ คน น้องคนสุดท้อง เป็นชาย อีกสามนั้น เป็นหญิงล้วน
ครอบครัวอบอุ่นผาสุกมาโดยตลอด จวบจนกระทั่งวันแห่งการ สูญเสียมาถึง… ช่วงเวลาที่ดิฉันกำลังโต เป็นวัยรุ่นอายุ ๑๗ ปี แม่ป่วยถึง กับล้มหมอนนอนเสื่อ โรคร้ายคุกคามอยู่ภายในช่องท้อง มีอาการ เจ็บปวดทรมานแสนสาหัส โรคร้าย มันกัดกิน ลำไส้ของแม่ ดิฉันเฝ้าดูแลอยู่ข้างกายแม่ตลอดเวลา… รู้สึกสงสารแม่เหลือเกิน แต่ก็จนปัญญาที่จะช่วยได้ ทำเพียง ได้แค่จ้อง ดูภาพ บาดใจ ตรงหน้า แม่ทุรนทุราย เพราะความเจ็บปวด ผ้านุ่งของแม่มีคราบสีขาว กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง ดิฉันจำวันแม่สิ้นใจได้ติดตามิเคยลืม….

แม่ดิ้นทุรนทุรายคล้ายถูกน้ำร้อนลวก สองมือตะกายไขว่คว้าเปะปะ เหมือนต้องการคว้าเอาอะไรบางอย่างจากอากาศ ครวญครางโหยหวนอย่างน่าสังเวช แล้ว จึงสิ้นใจ…

ดิฉันได้แต่นั่งน้ำตาไหลพรากอยู่ข้างกายแม่ สุดที่จะช่วยอะไรได้ แม่จากไปด้วยวัยเพียง ๓๙ ปี ยามนั้นไม่รู้หรอกว่า แม่ตายด้วยโรคร้ายอะไร กาลต่อมาภายหลังได้ตั้งสมมุติฐานว่า เป็นมะเร็งในลำไส้

ครอบครัวเราเหมือนเรือน้อยที่ลอยคว้างอยู่กลางทะเล สิ้นแม่เสียคนเสมือนหางเสือหัก พ่อดื่มเหล้าหัวราน้ำ เมากลับบ้านค่ำมืดทุกวัน… พ่อรักแม่มาก สุดที่จะทำใจยอมรับความสูญเสียได้ จึงฝังชีวิต และ จิตวิญญาณอยู่ กับขวดเหล้า งานไม่ทำ เงินที่ช่วยกันหามา กับแม่ละลายไป กับเมรัยไม่มีเหลือ น้องทุกคนกำลังกินกำลังโต
ขณะที่ฐานะทางบ้านย่ำแย่ลงทุกวัน ดิฉันในฐานะพี่คนโต จึงต้อง เป็นเสาหลักแทนแม่ รับภาระเลี้ยงดูอุปถัมภ์น้องๆ ทุกคน

เริ่มด้วยการ เป็นแม่ค้าตามอย่างแม่ ดิฉันโขลกน้ำพริกจนแขนล้า เพื่อปรุงน้ำยากิน กับขนมจีน แล้วใส่หาบเดินเร่ขาย
เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด เพราะต้องขายตั้งสามรอบ เช้าหาบไปขายที่ตลาด เที่ยงหาบไปขายเด็กนักเรียน ตกเย็นตระเวนไปตามชุมชน งานหนักปานใดดิฉันก็ต้องทน แม้ เป็นเพียงผู้หญิง ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่หากินได้ด้วยประสบการณ์ของแม่ค้า เพื่อปากท้องคนในบ้านไม่ต้องอดอยาก

พบชายในดวงใจเมื่ออายุ ๒๒

ตลอดระยะเวลาที่กรำงานบนเส้นทางชีวิตแม่ค้า จวบจนโต เป็นสาวสะพรั่ง และ เป็นสามัญสำหรับแม่ค้าสาวหน้าตาดี ชายหนุ่มมากหน้ามาตามจีบ ดิฉันยังไม่ปักใจชายใดเสียทีเดียว เพราะมีให้เลือกหลายคนเหลือเกิน จึงแค่ ดูความจริงใจ กันไปเรื่อยๆ ก่อน

กระทั่งเขาคนนั้นก้าวเข้ามาในชีวิตดิฉัน… ชายหนุ่มที่ดิฉันเลือก เป็นคู่ครอง

ครั้งแรกที่พบกัน เขามาที่บ้าน เพื่อติดต่อซื้อหนังสัตว์จากพ่อ เขา เป็นพ่อค้าหนังสัตว์จากจังหวัดลำปาง

แรกพบ... ดิฉันมองเขา เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนอีกหลายคนที่จ้องมองดิฉันอย่างหมายปอง เป็นเจ้าของ แต่
หลังจากวันนั้น เขาก็ตามตื๊อขอความรักเรื่อยมา ซื้อของฝากให้หลายอย่าง ดิฉันเคยต่อว่า เขาเหมือนกันว่า ยังไม่ เป็นคนรักกันสักหน่อย ทำไมต้องซื้อของให้ตั้งมากมาย

ดิฉันไม่รู้ว่า ตกหลุมรักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจ เพราะกาลเวลาทำให้เกิดความรัก หรือ เพราะเขาตามตื๊อจนดิฉันใจอ่อนก็ เป็นได้ บางครั้งไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน เมื่อก่อนไม่ได้รักก็ไม่แยแส ถึงบทจะรักเขา ก็ทุ่มเทให้อย่างสุดจิตสุดใจ ไม่เหลือเผื่อไว้ให้ชายใดเลย จะว่า ลุ่มหลงในตัวเขาคงไม่ผิดนัก ดิฉันรักเขามากจริงๆ

เขามาสู่ขอดิฉัน กับพ่อถึงที่บ้าน แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง ความรักของเราทั้งสองพังทลาย เหมือนปราสาททราย ที่ถูกเกลียวคลื่น ซัดพัง พ่อปฏิเสธเสียงแข็งที่จะรับเขาไว้ เป็นเขย เขาต้องหอบความผิดหวังลงจากบ้านดิฉันไป…

ดิฉันไม่เข้าใจ ทำไมพ่อถึงไม่เห็นดีด้วย กับความรักของเรา พ่อเกลียดขี้หน้าเขา เป็นที่สุด ในขณะที่ลูกสาวรักเขาจะ เป็นจะตาย ดิฉันเสียใจมาก และ รู้สึกโกรธพ่อ

ในวันที่พ่อออกไปนอกบ้าน…เขามาหาดิฉันถึงบนเรือน เรานั่งคุยกันสองต่อสอง เขาชวนให้ดิฉันหนีตามเขาไปอยู่ที่จังหวัด
ลำปาง หากพ่อยังคัดค้านการแต่งงานระหว่า งเรา

“พ่อรู้เข้ามีหวังแย่...แล้วจะหนีไปอย่างไรกัน” ดิฉันถาม

“ขึ้นรถโดยสารไปจากที่นี่โดยไม่ให้พ่อจับได้ แล้วพี่จะไปรอรับที่ลำปาง…” เขาบอก ดิฉันตกลง เพราะรักเขามาก พร้อมที่จะหนีตามไปร่วมหัวจมท้ายใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ยังมิทันที่ดิฉันจะกระทำเรื่องอันน่าอาย และ เสื่อมเสีย แผนการที่วางไว้ก็ล้มเลิกเสียก่อน พ่อยอมเปลี่ยนใจในที่สุด…รับเขา เป็นเขย ยอมให้เราครองคู่ร่วมเรียง
เคียงหมอนกัน

ดิฉันไม่แน่ใจว่า พ่อจะระแคะระคายเรื่องดิฉันวางแผนหนี หรือ เปล่า จึงกลับคำกะทันหัน จากที่เคยค้านเสียงแข็ง เป็น
โอนอ่อนผ่อนตาม


  เมื่อฉันเป็นมะเร็ง
   [เลือกหนังสือ]
page: 2/10
   Asoke Network Thailand