[เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 9/10
colse

สารบัญ
[1] |
[2]
|
[3]
|
[4]
|
[5]
|
[6]
|
[7]
|
[8]
|
[9]
|
[10]

เมื่อฉันเป็นมะเร็ง... ส. ลักขิตะ 

นับจากวันที่รู้ว่า เป็นโรคมะเร็งที่ปอด บนเส้นทางการต่อสู้เพื่อยืดวันตาย เรียนรู้ความเจ็บปวด ศึกษาตัวเอง ลองผิดลองถูก ประสบการณ์แลกมาด้วยเลือด และ น้ำตา ย่างเข้าปีที่ ๘ โลกใบนี้ยังมีดิฉันอยู่ ดิฉันยังไม่ตาย มะเร็งร้ายเหมือนจะหลับไหลภายในอก ไม่สำแดงพิษสง สิ้นฤทธิ์แล้วกระมัง นับว่า การรักษาที่ผ่านมาได้ผล สุขภาพดิฉันดีขึ้นโดยลำดับ พอเข้าปีที่ ๘ มองภายนอกดิฉันเหมือนคนปรกติ ไม่มีโรค ดูมีชีวิตชีวา และ อ่อนกว่า วัย

แต่จริงๆ แล้ว ภายในอกมีเนื้อร้ายฝังอยู่ และ เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง หากเปรียบ กับคนปรกติ ดิฉันไม่สามารถเอากลับคืน เพราะกว่า จะหยุดมะเร็งได้ มันแทะปอดไปมากแล้ว ของที่เสียไป
เราก็ได้แต่ถอนใจ ยอมรับสภาพตามจริง ส่วนที่มะเร็งยังไม่กิน ช่วงชีวิตสุดท้ายจะใช้มันอย่างมีคุณค่าที่สุด

ใช้ชีวิตอย่างคนปรกติ มีงานอบรมธรรมที่ต่างจังหวัดเป็นช่วงๆ กลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมจะปิดร้าน แล้วเช่ารถทัวร์ไปร่วมงาน
หลายวัน เดินทางไกลพอสมควร ดิฉันร่วมขบวนไปด้วยทุกครั้ง แม้รู้สึกเหนื่อยบ้าง แต่เพื่อการแสวงบุญก็ยอมทนฝืน เหนื่อยนักพักเดี๋ยวก็หาย ดิฉันศรัทธาพุทธศาสนาเหลือจะบรรยาย เพราะหากไม่ได้ฟังสัจธรรม ป่านนี้คงตาย หรือ เป็นบ้าไปแล้วก็ได้ ศาสนามีคุณเหนืออื่นใด หากเราศรัทธาด้วยสัมมาทิฏฐิ ไม่งมงาย ปฏิบัติตามๆ กันไป แต่ศึกษาให้เห็นจริงด้วยตัวเอง จนเห็นสัจธรรมอันเที่ยงแท้
ในตน แล้วเราจะนับถือศาสนาอย่างไม่สงสัย กล้าอุทิศแรงกาย เสียสละทำดี เป็นประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติ รวมไปถึงโลกใบนี้

เพื่อนข้างกายมีอิทธิพลต่อสุขภาพจิต สุขภาพกายคนเรามากทีเดียว

ขอบคุณโชคชะตา ที่ลิขิตให้มาพบกลุ่มปฏิบัติธรรม ได้ร่วมงาน สนิทสนมจน เป็นดุจญาติสายเลือดเดียวกัน ตลอดเวลาที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันบนเส้นทางศาสนา ถือศีลปฏิบัติธรรม ลดกิเลส และ ทำงานเสียสละ ดิฉันได้รับสิ่งดีงามมากมายจากเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทุกคนที่รัก และ อาทรดิฉันเสมอมา

เพื่อนทุกคนรู้ว่า ดิฉันยกของหนักไม่ได้ หากดิฉันเผลอ เพื่อนจะคอยเตือนเสมอ กระนั้นยังเผลอยกของหนักบ่อยๆ จนบางครั้งเพื่อนต้องด่าเข้าให้อย่างเอ็นดู ไม่อยากเห็นดิฉันล้มเจ็บอีก ฟักทองหลายลูกวางอยู่ในเข่ง…ลูกใหญ่เสียด้วย ดิฉันต้องการนำไปทำน้ำสลัด แต่มันหนักจนยกไม่ไหว คิดหาวิธีอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจลากไปทั้งเข่ง ยังมิทันออกแรงก็โดนมือดีเคาะหัวด้วยไม้ท่อนเล็ก

“นี่แน่ะ บอกกี่หนว่า อย่าทำงานหนัก” เพื่อนว่า ให้ เงื้อไม้ทำท่าจะเคาะซ้ำอีก” บอกให้ใครช่วยยกซี เดี๋ยวได้นอนซมอีกหรอก”

ดิฉันรู้สึกเหมือน เป็นเด็ก ต้องโดนไม้เคาะหัว จึงจะไม่ทำผิดอีก

ดิฉันกลับมาตื่นนอนแต่เช้าเช่นเคย ลุกจากที่นอนเวลา ตี ๔ ยืดเส้นสายออกกำลังกายพอประมาณ หยิบจับงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ฆ่าเวลา รดน้ำต้นไม้ที่ปลูกเอง ดิฉันชอบเอาเวลาว่าง ไปทำงาน ปลูกผัก-ต้นไม้รอบๆ บ้าน ไม่ปล่อยเวลาสูญเปล่า กินผักปลูกเองปลอดภัยไร้สารพิษ ดีต่อสุขภาพ

มะนาวปลูกไว้ออกลูกดกมาก ตั้งใจว่า จะเก็บไปให้ร้าน ชมร. ไม่ต้องไปซื้อที่ตลาด ดิฉันจะได้บุญ

ก้าวพ้นรั้วบ้านเมื่อเวลาตี ๕ ดิฉันมายืนโบกรถสองแถว ริมถนน คนแก่แต่งกายซอมซ่อยืนโบกรถ บ่อยครั้งรถวิ่งเลยไป
ไม่จอด ดิฉันเดินไปร้านก็ได้ ไม่เห็นต้องพึ่งรถโดยสาร เดินก็ได้บรรยากาศดี ระยะทางพอให้อุ่นเครื่องกำลังเหมาะ ยามเช้าอากาศสดชื่น หายใจได้เต็มปอด ฮำเพลงในใจอย่าง เป็นสุขขณะก้าวเดิน บางทีก็คิดถึงพระธรรมคำสอน ช่างเพลิดเพลินเสียนี่กระไร จะหวาดเสียวหน่อยช่วงข้ามถนน กลัวถูกชน คนแก่ข้ามถนน คนขับ มันไม่ค่อย เหยียบเบรก เหมือนเห็นสาวๆ คุณสมศักดิ์ เป็นเพื่อนร่วมงานชายวัยกลางคน เขาช่วยขับรถส่งดิฉันถึงบ้าน หลังเลิกงานที่ ชมร. เป็น
น้ำใจที่คนแก่อย่างดิฉันอดชื่นชมไม่ได้

ดิฉันเพิ่มชนิดอาหารการกินบ้าง กินสูตรกันตายมานานหลายปีจนโรคร้ายสยบ เสริมอาหารจืดๆ มาในแต่ละมื้อ บ้าง เป็นผักตำลึงลวก น้ำซุปร้อนๆ ข้าว-ถั่ว-งา เป็นอาหารหลัก อย่างอื่นเสริมบ้างพอประมาณ เน้นไม่ปรุงแต่ง รส เป็นธรรมชาติ ไม่กินสิ่งที่ เป็นพิษภัยต่อมะเร็ง และ อาหารรสจัดจ้านยังต้องควบคุม

ดิฉันเคยคิดเล่นๆ เป็นโรคมะเร็งก็ดีเหมือนกัน ทำให้รู้จักเลือกสรรสิ่งดีเข้ามาในชีวิต อยู่อย่างไม่ประมาท

มะเร็งหยุดแทะปอดดิฉันในที่สุด

เป็นความบังเอิญโดยแท้ ดิฉันมาช่วยงานร้านเช่นทุกวัน ช่วงหนึ่งเกิดสะดุดขาตัวเอง ล้มไปข้างหน้า ทับรถเข็นสามล้อคันเล็ก โครงเหล็กข้างรถทิ่มอกพอดี พยุงกายลุกขึ้นได้ เพื่อนตื่นตกใจเข้ามาประคอง ถามดิฉันว่า เจ็บตรงไหนบ้าง รู้สึกเจ็บหน้าอก ดิฉันบอกเพื่อนว่า ควรไปหาหมอ เอ็กซเรย์กระดูก คุณใบแพรอาสาขับรถพาดิฉันส่งโรงพยาบาล ทุกคนต่างห่วงใย หมอส่งดิฉันไปเอ็กซเรย์ ถ่ายช่วงอกออกมาหากระดูกหัก เสร็จสรรพหมอเอาแผ่นฟิล์มมาให้ดู ดิฉัน และ ใบแพรจ้องแผ่นฟิล์มเขม็ง สิ่งที่ดิฉันเห็นคือ ปอดซีกซ้ายของตัวเองมันหายไปกว่า ครึ่ง เหลืออยู่ไม่เกิน ๓ นิ้วโดยประมาณ

“ใบแพร ดูปอดแม่สิ” ดิฉันพูด ชี้ให้ดู

“มะเร็งมันกินปอดแม่ไปตั้งเยอะแน่ะ เหลืออยู่แค่นี้” หันไปทำมือให้ใบแพรดูว่า ปอดเหลือความยาวแค่ระดับนิ้วกลาง นอกนั้น
ว่างเปล่า มันเอาไปกินหมด

“อ้าว แม่มาตรวจ เพราะเจ็บอกนี่” หมอพูด “แล้วทำไมจ้องดูที่ปอดแห่งเดียวล่ะ”

“มันกินไปมากเลยนะคะหมอ” ดิฉันพูด “นี่มันยังจะกินต่อจนหมด หรือ ไง”

“ไม่ล่ะครับ มันหยุดแล้ว อาการดีขึ้นมากทีเดียว ผมดีใจ กับแม่ด้วย”

หมอพูดเช่นนั้น ดิฉันรู้สึกดีใจอย่างมาก อยากจะแซวหมอกลับว่า “ไหนบอกว่า แม่จะอยู่ได้ไม่เกิน ๖ เดือน แต่แม่อยู่มาได้ ๘ ปี แล้วนะหมอ” แค่พูดในใจ

แค่ได้รู้ว่า มะเร็งหยุดกำเริบ ดิฉันก็พอใจแล้ว ส่วนอื่นจะ เป็นอย่างไรไม่อยู่ในสายตา หน้าอกที่เจ็บ เพียงช้ำเท่านั้น กระดูกไม่
แตกหักอย่างใด

ดิฉันเดินทางกลับร้าน บอกข่าวดีให้รู้กันทั่ว เพื่อนๆ ต่างแสดงความยินดี กับดิฉันยกใหญ่ รู้สึกชื่นฉ่ำใจเหลือจะบรรยาย
ใบหน้าของทุกคนปรากฏรอยยิ้ม

ดิฉันรู้สึกคุ้มค่า กับการทนทรมานสู้ กับมะเร็งนานถึง ๘ ปี ในที่สุดดิฉันก็ เป็นฝ่ายชนะ

กับการเผยแพร่วิธีรักษาสุขภาพด้วยตนเอง เป็นวิทยาทาน ดิฉันคิดว่า ประสบการณ์ที่สั่งสมมา ๘ ปี เรียนรู้รักษาโรค โดย เป็นหมอให้ตัวเอง ดิฉันเล่าให้คนที่สนใจฟัง คนป่วย เป็นมะเร็ง หมอ และ พยาบาล นับว่า เป็นบุญได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ ผู้เผชิญโรคร้ายที่ไร้ทางรักษา

ดิฉันให้สัมภาษณ์หมอ เรานั่งคุยกัน หมอจดในสิ่งที่ดิฉันพูด และ ซักถามรายละเอียด ดิฉันบอกหมอไปว่า ต้องคุมอาหาร
คุมอารมณ์ ดิฉันเล่าอย่างไม่ปิดบังทุกขั้นตอน หมอรับฟังด้วยดี แต่พอบอกว่า ดื่มน้ำฉี่ประจำ หมอมีอาการผะอืดผะอม

แต่ก็มีบางคนเริ่มลองดื่มฉี่รักษาโรค หลังได้ฟังดิฉันยืนยันสรรพคุณ ไม่เฉพาะมะเร็งเท่านั้น โรคอื่นก็หายได้ด้วยน้ำฉี่เช่นกัน


  เมื่อฉันเป็นมะเร็ง
   [เลือกหนังสือ]
page: 9/10
   Asoke Network Thailand