ดวงตาที่สาม (ตอนจบ)
-๑๔-
เราเดินตรงเข้าหมู่บ้าน ตามเส้นทางเดินเท้าเข้าเขตแดนวิมาน......
หลังผ่านประตูมายา ผมเดินนำพวกเขา พอใกล้ถึงจุดหมายพวกเขาพลันหยุดเดิน
"เกิดอะไรขึ้น ?" ผมหันกลับไปถาม
"เปล่านี่ ไปต่อสิ"
พวกนี้ท่าจะประสาท ผมคิด หมุนตัวกลับ
แต่มิทันได้ออกเดิน พลันยินเสียง "ตุบ !" จากด้านหลัง
รู้สึกเจ็บหนักๆ ที่ท้ายทอย ร่างผมทรุดฮวบลงกองพื้น......
ผมได้ยินเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดังแว่วเข้ามาในหู
แล้วทุกอย่างก็เงียบเชียบ....
ผมสลบไปนานเท่าใดไม่รู้ พอฟื้นลุกขึ้นมา รู้สึกเจ็บที่หัว
"ไอ้พวกระยำ มันเกิดบ้าหรือไงนะ"
รู้สึกงง และหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
พอเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น.....ภาพที่ปรากฏไกลออกไป
ทำเอาผมตะลึงพึงเพริด !
"ไม่.....คุณพระช่วย"
แดนวิมานกลายเป็นทะเลเพลิง เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ฟ้า
สะบัดไหวเป็นสายยาว ราวกับ ผืนธง นรกโบกสะบัด
ผมรีบวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ บ้านเรือนล้มพังไปทีละหลัง
ค่อยๆแปรสภาพเป็นเถ้าถ่าน
นี่มันอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น? ผู้คนหายไปไหนหมด?
ผมร้องถามในใจ กระวนกระวายและสับสน
ผมวิ่งไปแดนวิเวก ไปแดนวิมุติ เจอแต่กองไฟรายรอบตัวไปหมด
เหมือนตกอยู่ในทะเลเพลิง ผมร้องเรียกหาใครก็ไม่เจอ
ผมวิ่งตรงไปวิหารฟ้ากลางดอย วิหารกลายเป็นลูกไฟขนาดมหึมา
มีใครคนหนึ่งยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่หน้าวิหาร
ผมปราดเข้าไปหา พบว่าเป็นแพรน้ำค้าง
เธอยืนร้องไห้น้ำตานอง
"เกิดอะไรขึ้นแพร ใครทำ ทุกคนหายไปไหนหมด?"
ผมยิงคำถาม จับไหล่เธอเขย่า
"คุณเป็นคนทำ" เธอเค้นคำออกมา
"คุณทิ้งฉันไป ทำร้ายจิตใจฉัน ไม่มีเหลือ......ฉันไม่เหลือที่พึ่งใดอีกแล้ว"
"แพรน่าจะเข้าใจ ผมขอโทษ"
"แพรไม่ต้องการฟังคำนี้ คุณทำร้ายจิตใจฉัน
ฉันไม่ว่า แต่คุณไปพาคนชั่วมาทำลายเราอีกทำไม"
เธอร้องออกมาทั้งสะอึกสะอื้น ผมมึนงงไม่อยากเชื่อ
"แพร ผมไม่เจตนา นี่ชาวเมืองหายไปไหนหมด
?"
"อยู่ในวิหาร และฉันกำลังจะตามพวกเขาไป"
"คุณพระช่วย.... ....ไม่นะแพร อย่าทำบ้าๆ
แบบนั้น" ผมจับตัวเธอไว้
เธอดิ้นรนสุดแรงจนหลุดพ้น ถอยกายออกห่างแล้วบอกผมว่า
"ปีกฝัน หัวใจฉันเป็นของคุณ แต่วิญญาณฉันมอบให้เมืองดอยอาริยะ
ลาก่อน..."
ผมร้องห้ามเธอสุดเสียง แต่ไม่เป็นผล
ร่างแพรน้ำค้างพลิ้วหายเข้าไปในกองเพลิง
เข่าผมทรุดฮวบลงตั้งพื้น เหม่อมองเหมือนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
นั่งซึมอยู่นาน....ผมค่อยลุกขึ้นเดินเปะปะ
ก้าวไปอย่างไร้จุดหมาย
เดินมาพบท่านแสงธรรมนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ร่มไผ่
รู้สึกดีใจเป็นที่สุด ปราดเข้าไปนั่งลงตรงหน้าท่าน
"ท่านครับ ผมทำผิดมหันต์ ผมนำพวกมันมา"
ผมก้มหน้าอย่างคนชั่วสำนึกบาป
"เมืองอาริยะกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้ว......"
น้ำเสียงท่านแผ่วเบา "คงมีเพียงเธอเป็นธรรมทายาทของเรา
เธอมีวิญญาณอาริยชน จงไปสร้างเมืองอาริยะอย่างที่เราทำ สืบสานงานช่วยเหลือมนุษยชาติ
ให้พวกเขาได้เปิดดวงตาที่สาม มองเห็นสัจจะชีวิตอันแท้จริง หลุดพ้นมายาโลกีย์"
คำพูดท่านขาดหาย ผมได้ยินเสียงไอเหมือนคนใกล้สิ้นลม
จึงเงยหน้าขึ้นมอง...
โอ...ไม่ !
เลือดแดงสดไหลเยิ้มออกจากมุมปากท่าน
ร่างโอนเอน ผมปราดเข้าประคอง
"ท่านต้องไม่ตาย" ผมร้องออกมาทั้งน้ำตา
"ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แต่การอยู่อย่างไร้คุณค่าน่ากลัวยิ่งกว่า....จำคำเราไว้ปีกฝัน
เธอเป็นธรรมทายาท จงไปสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง...."
ร่างท่านอยู่ในอ้อมกอดผม แต่วิญญาณท่านล่องลอยไปสุดที่ผมจะคว้าไว้ได้
ผมยินเสียงตนเองร่ำร้องอย่างขมขื่น เหมือนโลกทั้งใบแตกสลายไปต่อหน้า
ผมลงมาถึงเมืองใหญ่เอาเมื่อฟ้าใกล้ค่ำ.....
รอบกายแสงสีวิบวับ ผู้คนสับสนอลหม่าน
ผมบอกกับตัวเอง
"นี่เป็นโลกเก่า แต่นายเกิดใหม่แล้วปีกฝัน"
สุดท้ายผมก็ต้องอยู่กับโลกแห่งความจริง โลกที่มีทั้งดีและชั่ว
นักบุญและคนบาป โอบกอดของพระเจ้า กับรอยยิ้มแสยะของซาตาน....อยู่กับสิ่งโสมม
ด้วยวิญญาณที่บริสุทธิ์
ผมเข้าพักในโรงแรมเล็กๆ ตั้งอยู่ซอกมุมของเมืองใหญ่
เป็นห้องหมายเลข ๙ เปิดประตูเข้าไปทิ้งกายลงบนเตียง
คำสั่งเสียของท่านแสงธรรมดังกังวานอยู่ในหัว "เธอเป็นธรรมทายาท
จงไปสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง"
ผมปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว.....
ผมเดินทางกลับอเมริกา วิญญาณอาริยะฝังแน่นอยู่ในอก
ด้วยสำนึกแห่งธรรมทายาท ผมตั้งใจกลับไปสร้างเมืองอาริยะขึ้นใหม่
สืบสานอุดมการณ์บรรพชน...........
บทสืบต่อ
คาลาสกี้ นักชีววิทยาชาวรัสเซีย เขาเป็นหนุ่มโสดวัยสามสิบ
รักธรรมชาติ ชอบอ่านหนังสือปรัชญา และค้นคว้าศึกษาสายพันธุ์พืช
อาจเป็นด้วยเหตุปัจจัย หรือชะตากรรม
ทำให้เขาต้องเดินทางมาที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ พื้นที่แถบน
ี้ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ มีพืชหลากหลายชนิดให้ศึกษา
คาลาสกี้ สะพายเป้เดินบุกเข้าป่า ปีนเขา
ลุยลำธารไปคนเดียว
เขาบันทึกพันธุ์ไม้ที่แปลกใหม่ตามรายทาง
ถ่ายรูป และเก็บส่วนใบไว้เป็นตัวอย่าง
เขาเพลินกับธรรมชาติ จนลืมไปว่ามันได้ปิดเส้นทางกลับ
เขาหลงป่าโดยไม่รู้ตัว ต่อเมื่อคิดหวนคืน ออก จากป่าก็ทำไม่ได้เสียแล้ว.....
น้ำหยดสุดท้ายในกระติกหมดไป.....คาลาสกี้
รู้สึกอ่อนล้าสิ้นหวัง
"เราคงกลายเป็นปุ๋ยในป่านี้"
เขาคิด
คาลาสกี้ลากขาเดินไปอย่างไร้จุดหมาย
หันมองทางไหนก็มีแต่ต้นไม้
หลังดวงตะวันลับลงหลังเขา คาลาสกี้ ได้มาพบเส้นทางเดินเท้าสายเล็กๆ
คดเคี้ยวเข้าไปในหุบเขาข้างหน้า
เขาก้าวไปบนเส้นทางนั้น ด้วยความหวังที่ฟื้นคืนขึ้นมา....เขาเดินจนจะหมดเรี่ยวแรง
ถึงได้ประจักษ์ว่า ตน เดินวนอยู่ที่เดิม ความเหนื่อยอ่อนทำให้เขาล้มตัวลงนอนสลบไป.....
คาลาสกี้ลืมตาตื่นขึ้น พบชีวิตอยู่ในบ้านไม้หลังหนึ่ง ขนาดมันไม่ใหญ่
หลังคามุงใบไม้ เขาคิดว่า ตัวเองฝัน แต่มันเป็นความจริง และเขายังไม่ตาย
เคลื่อนกาย ลงจากเตียง ก้าวออกไปที่ระเบียงบ้าน....คาลาสกี้พบว่าที่นี่เป็นชุมชน
เหมือนเมืองใน
นิยายโบราณ ธรรมชาติงดงาม มีป่าไม้ สายธาร
และขุนเขาโอบล้อม
เป็นเช้าที่สดชื่น ละอองหมอกปลิวมาต้องกาย
เขารู้สึกคล้ายกับตัวเองอยู่บนสวรรค์
คาลาสกี้ รู้สึกเหมือนมีคนยืนอยู่ข้างหลัง
เขารีบหมุนตัวกลับ !
"สวัสดีครับ เมืองดอยอาริยะยินดีต้อนรับ"
ชายคนนั้นพูด
"คุณเป็นใคร ?" คาลาสกี้ถาม
"ผมมาเพื่อตอบคำถามคุณ" เขายิ้มอย่างเป็นมิตร
แล้วพูดเสริมว่า "ปีกฟ้า เป็นชื่อของผม"
ล่วงผ่าน ๑๐ ปี.......
ท่านแสงธรรมนั่งทำสมาธิอยู่ใต้ร่มไผ่
คาลาสกี้ยอบกายลงตรงหน้าท่าน ด้านหลังเขา แดนธรรมนั่งอยู่
"จงมองเข้าไปในดวงตาเรา" ท่านแสงธรรมพูด
คาลาสกี้น้อมจิตไปตามคำพูดท่าน
"ทำจิตให้สงบนิ่งดุจแอ่งน้ำบนยอดเขา
จงมองเข้าไปภายในกายเรา ด้วยดวงตาแห่งจิตอันบริสุทธิ์ เปิดดวงตาที่สามนั้นขึ้น
มองให้ทะลุเนื้อหนังอันมายาโลกประกอบเข้าเป็นตัวเรา แยกจิตแยกกาย
แยกดินน้ำลมไฟออกจากปวงสังขาร ถอดหน้ากากอวิชชา ประตูมายาจักเปิดอ้า
แสงแห่งอาริยธรรมจะสาดส่อง เส้นทางชีวิตอันแท้จริงจะปรากฏ เธอจงก้าวไปตามทางนั้น
ก้าวออกไปอยู่ในโลกแห่งความจริง....."
ท่านค่อยๆจูงจิตเขาให้ไหลลึกเข้าสู่ห้วงภวังค์
คาลาสกี้หลุดเข้าไปในโลกแห่งความฝัน ที่เขารู้สึกว่ามันเป็นความจริง
"เธอกลับออกไปยังโลกภายนอก"
ท่านพูดต่อ
"และได้นำพาคนชั่วร้ายกลับมาทำลายเมืองดอยอาริยะ"
คาลาสกี้นั่งนิ่ง แต่สีหน้าบูดเบี้ยว...
ลึกลงไปในห้วงจิต ตัวเขาเองอยู่ท่ามกลางเปลวไฟ
เมืองดอยอาริยะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
"เธอกลับมาพบเราที่ใต้ร่มไผ่ เราขอบอกเธอว่า.....เมืองดอยอาริยะกลับคืนสู่ธรรมชาติแล้ว
มีเพียงเธอเท่านั้นเป็นธรรมทายาทของเรา เธอมีวิญญาณอาริยชน จงไปสร้างเมืองอย่างที่เราทำ
สืบสานอุดมการณ์ช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ ให้พวกเขาได้เปิดดวงตาที่สาม
มองเห็นสัจจะชีวิตอันแท้จริง หลุดพ้นมายาโลกีย์.....
จำคำเราไว้ เธอเป็นธรรมทายาท จงไปสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง....."
หยาดน้ำใสไหลรินออกจากดวงตาคาลาสกี้
"เธอลงไปยังเมืองใหญ่ข้างล่าง เข้าพักในโรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง
ในห้องหมายเลข ๙
เธอล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วหลับไป....."
คาลาสกี้ ค่อยๆเหยียดกายลงนอนกับพื้น
เปลือกตาปิดลงหลับใหล
ท่านแสงธรรมหันไปบอกแดนธรรมว่า "เขาหลับแล้ว
ตลอดคืนนี้จะไม่รู้สึกตัว เอาตัวเขาลงไปยังเมืองใหญ่ภายนอก นำเขาไปไว้ที่โรงแรมเดิม
ห้องหมายเลข ๙ เมื่อเขาตื่นขึ้น เขาจะไม่พาใครมาหาเราอีก สำหรับเขาเมืองดอยอาริยะไม่มีแล้ว
และเขาจะมุ่งมั่นสร้างเมืองขึ้นมาใหม่"
ท่านหยุดถอนหายใจอย่างโล่งอก "อีกสิบปีข้างหน้า
เราจะติดต่อถึงเขา ในช่วงนี้ให้เขาเก็บประสบการณ์บนเส้นทางอาริยมรรคด้วยตนเอง
โดยไม่ต้องมีเราคอยช่วยเหลือ มันเป็นผลดีต่อตัวเขาเอง"
แดนธรรมน้อมรับคำ
ท่านแสงธรรมลุกขึ้นยืน "เสร็จสิ้นภารกิจไปอีกคน
กว่าจะได้อาริยชนสักคน ต้องปลูกฝังจิตวิญญาณกันนานหลายปี"
ท่านพูดกับตัวเอง
ท่านพาตัวเองไปยังห้องโลกทัศน์ ชาวแดนวิมุติกำลังวุ่นอยู่กับงานข้อมูลข่าวสาร
ที่ไหลเข้ามาจากทุกมุมโลก
ท่านแสงธรรมเดินไปหาชายศีรษะโล้นคนหนึ่ง
บอกกับเขาว่า
"ส่งข่าวไปถึงเครือข่ายอาริยชนของเรา
ในประเทศแถบยุโรป"
ชายคนนั้นป้อนคำสั่งท่านลงคอมพิวเตอร์
"บอกให้ทางยุโรปคัดเลือกคนดีมาหนึ่งคน
แล้วหาวิธีส่งเขามาฝึกตนเป็นอาริยชนกับเราที่นี่ เราจะสร้างเขาให้มีวิญญาณอาริยะ
เพื่อกลับไปช่วยเหลือประเทศชาติของเขา ก่อนกาล โลกาวินาศจะมาถึง"
ท่านแหงนหน้าขึ้นมองแผนที่ประเทศทางยุโรป
มีแสงไฟกะพริบ จากจุดที่ตั้งเครือข่ายอาริยชน
"อ้อ...แล้วช่วยส่งข่าวไปยังอเมริกา
ถึงทายาทอาริยชน ปีกฝัน บอกท่านแสงธรรมจะไปเยี่ยมเขาในอาทิตย์นี้"
(จบบริบูรณ์)
|