พระบรมราโชวาท แถลง ชนะใจ - ชนะภัย (ไฟ)
น้ำท่วมบ้านราช สิบห้านาทีกับพ่อท่าน
พระพุทธเจ้ากับการอนุรักษ์ธรรมชาติ
จดหมายจากญาติธรรม รายงานจากพุทธสถาน
สรุปรายงานการประชุมองค์กรต่างๆ ของชาวอโศก ใต้ร่มอโศก
เก็บเล็กผสมน้อย น้ำฉี่ดีจริงหรือ? ไร้บุญนิยมสังคมอันตราย
กรรมตามสนอง ดวงตามที่สาม หอมดอกพุทธา

กลับหน้าแรก

 

 ชนะใจ ชนะภัย (ไฟ) 
หนึ่ง
ปีเศษที่มีโอกาสได้เข้าไปร่วมรับผิดชอบ บริหารและดูแล 'ร้านน้ำใจ' ผมรู้สึกว่า เป็นอีกช่วงหนึ่ง
ของชีวิต ในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางอโศก เพื่อมวลมนุษยชาติ ของพ่อท่าน ที่สนุกมากที่สุดช่วงหนึ่ง
"

สนุกอย่างไรหรือครับ? สนุกกับการที่ได้ช่วยชาวบ้าน ทั้งใกล้และไกล แม้กระทั่งต่างจังหวัดก็มีไม่น้อย ให้ได้มีโอกาสซื้อสิ้นค้าราคาถูก จากระบบพาณิชย์บุญนิยมของชาวอโศก ซึ่งไม่มีที่ไหนทำได้ และไม่มีใครทำได้ ถ้าเขาไม่มีเลือดของความเป็นชาวอโศกที่แท้จริง

'ร้านน้ำใจ' เป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้านทุกระดับ ตั้งแต่
กรรมกรแบกหาม ชาวไร่ชาวนา พ่อค้าแม่ขาย
ข้าราชการ

ผู้มีอันจะกิน ลูกเล็กเด็กแดง นักเรียน วัยรุ่นหนุ่ม-
สาว ไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ จนมีคำพูดติดปากกันว่า
"ร้านน้ำใจขวัญใจชาวบ้าน" เพราะขาดเหลืออะไร
ต้องการอะไร ไม่ต้องไปไกลให้เสียค่ารถ แถมได้
ราคาถูกอีกด้วย มีให้เลือกซื้อหาเกือบทุกอย่าง
ยกเว้นสินค้าฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นของชีวิต

ผมไม่ได้รู้สึกฟูใจหรือหลงยินดีไปกับคำพูดเหล่านั้น แต่รู้สึกอิ่มอก อิ่มใจ ภาคภูมิใจในสิ่งที่ได้ทำกับชาวบ้าน ในบุญที่ได้ทำเพื่อชาวบ้าน บุญนิยม ๔ ระดับ ไม่ว่าจะเป็นขายต่ำกว่าท้องตลาด ขายเท่าทุน ขายต่ำกว่าทุน และแจกฟรี นำมาใช้หมดทุกรูปแบบ ตามแต่สถานการณ์ต่างๆที่จะมีโอกาสใช้ ความรู้สึกที่ดีๆ ทั้งรัก ทั้งเห็นใจ ผมมีให้กับชาวบ้านแถบนั้น ไม่ต่างอะไรกับความรัก ความเอ็นดูที่ผมมีให้กับนักเรียน ที่เคยสอน เคยอบรมนักเรียนอย่างไร ก็นำมาประยุกต์ใช้กับชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านก็เข้าใจและรับได้ บรรยากาศในร้านน้ำใจไม่เหมือนร้านค้าทั่วๆไป

ที่เป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างคนขายของกับคนซื้อของ แต่มันเป็นบรรยากาศของความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นภราดรภาพที่อบอุ่น ผมรู้สึกอย่างนั้น และเป็นสุขกับบรรยากาศนั้นจริงๆ

แต่....ขณะที่กำลังสนุกกับงาน เบิกบานกับบุญที่เพียรกระทำอยู่นั้น เหตุการณ์ที่ไม่เคยเจอ ไม่เคยพบเห็น ไม่เคยคิดว่าจะได้ประสบก็เกิดขึ้น เหตุการณ์ไฟไหม้ร้านน้ำใจจนวอดวาย เอาอะไรออกมาไม่ได้สักอย่าง มันเหมือนกับความฝัน เหมือนกับกำลังดูหนังจอมหึมา แต่มันก็เป็นความจริง ไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่เพียงแค่นึกภาพจินตนาการ ร้านน้ำใจสลายลงไปต่อหน้าต่อตา ใจคนก็สลายลงไปด้วย ตอนนั้นผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เพราะขณะที่ภาพของความพินาศกำลังเกิดขึ้น อีกภาพหนึ่งก็เกิดซ้อนขึ้นมา ภาพที่มีสินค้าเต็มร้าน ของนั้นอยู่ตรงนั้น ของนี้อยู่ตรงนี้ เราจัดอยู่กับมือทุกวี่วัน มันช่างเป็นภาพ เป็นความรู้สึกที่โหดร้ายอะไรอย่างนั้น ยอมรับว่าหัวใจสลายจริงๆ ช่วยอะไรไม่ได้กับสถานการณ์รุนแรงขนาดนั้น ได้แต่ยืนมอง....มอง.....มอง....แล้วก็มอง รู้สึกหนาวจนยะเยือกเข้าไปถึงหัวใจ!

ขณะนั้นในใจผมอาจจะรู้สึกสับสน เสียดาย เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่กายผมสงบมาก นิ่ง คิดว่าเราต้องไม่ทำตัวให้เป็นภาระของผู้อื่น อย่าทำให้ผู้อื่นต้องเสียขวัญหรือเสียกำลังใจ

ยืนดูไปก็ทำใจไป ขอบคุณที่เราได้ปฏิบัติธรรม ขอบพระคุณพ่อท่าน สมณะ และสิกขมาตุมากๆ ที่ได้อบรมสั่งสอนผมมาในทุกๆเรื่อง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป พอไฟมอดและสงบลง ใจผมก็สงบตามไปด้วย สำรวจใจตัวเองดู ไม่มีจิตแม้แต่จะอยากรู้ว่า เป็นฝีมือของใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีจิตอาฆาต ไม่พยาบาท ไม่เคียดแค้น มีอยู่อย่างเดียวคือ ความรู้สึกที่เสียใจต่อชาวบ้าน สงสารชาวบ้านที่เราไม่สามารถจะเป็นที่พึ่ง ให้ความช่วยเหลืออนุเคราะห์ได้ในส่วนที่ร้านน้ำใจเคยทำ แต่ก็ยังดีที่ศีรษะอโศกส่วนอื่นๆยังเหลืออยู่ ยังเป็นที่พึ่ง ยังสามารถสร้างสรรประโยชน์สุขให้กับชาวบ้านได้อยู่

ขอบคุณธรรมะ "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" ถึงแม้ธรรมะจะไม่สามารถรักษาข้าวของวัตถุไว้ได้ แต่ก็สามารถรักษาใจผมได้ ซึ่งมีค่าและยิ่งใหญ่กว่าสิ่งของ กว่าวัตถุเงินตราอย่างมากมายเทียบกันไม่ได้เลย ขอเพียงคนยังอยู่ ฝีมือและความสามารถยังอยู่ ขวัญและกำลังใจยังอยู่ ไม่มีทางที่พวกเราชาวศีรษะอโศกจะสร้างขึ้นมาใหม่ไม่ได้ !

ขอขอบคุณเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่ช่วยให้จิตใจผมแกร่งขึ้น ขอบคุณชาวศีรษะอโศกทุกคนที่ร่วมเป็น ร่วมตาย ร่วมแรง ร่วมใจกันในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอกราบขอบพระคุณชาวบ้าน ญาติธรรมชาวอโศกจากที่ต่างๆ ด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจที่เป็นห่วงเป็นใย ให้กำลังใจ ให้ความช่วยเหลือในยามทุกข์ยากในทุกๆด้าน

ไฟไหม้รุนแรงแค่ไหน โหดร้ายเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้ผมหลั่งน้ำตาได้ แม้กระทั่งน้ำตาซึม แต่ความปลาบปลื้ม ความประทับใจ ความซาบซึ้งใจจากกำลังใจของชาวอโศกทุกท่าน กลับทำให้ผมหลั่งน้ำตาออกมาได้ รักพี่น้องพวกเราชาวอโศกมากๆเลยครับ

สุดท้าย....ขอขอบคุณเหตุการณ์ไฟไหม้ร้านน้ำใจครั้งนี้อีกครั้ง ที่ช่วยให้ผมสามารถกลับไป "อยู่" กลับไปดูแลเอาภาระ"เด็กนักเรียน"ได้อีกครั้งหนึ่ง ในความเคราะห์ร้ายก็ยังมีความโชคดี ทุกคนควรรู้จักเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส กลับร้ายให้กลายเป็นดี ขอบคุณเหตุการณ์ครั้งนี้จริงๆครับ ขอบคุณที่สุด

ฝนไท ชาวหินฟ้า
(อาปอ)


วันที่ ๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๕ เป็นวันที่ดูอะไรก็ลงตัวดีหมด กลับจากการประชุม คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อฟ้าดิน ที่สันติอโศก เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๕ ก็เดินทางโดยรถไฟ ตรงไปที่จ.ศรีสะเกษ เพื่อร่วมงาน"ภูมิปัญญาบ้านเกิด ระเบิดทางตัน" ร่วมงานอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในการหาทางออกของชีวิต ประมาณ ๑๘.๐๐ น.ของวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๔๕ ท่านเดินดิน ติกขวีโร โทรศัพท์มาบอกว่า น้ำท่วมบ้านราชฯ ให้นำเต้นท์ไปส่งที่บ้านราชฯ ทำให้นึกถึงร้านน้ำใจ ว่าพรุ่งนี้จะเอาของจากร้านน้ำใจไปช่วยบ้านราชฯ เพียงแค่นี้เท่านั้นที่นึกถึงร้านน้ำใจ

ออกเดินทางไปบ้านราชฯ ประมาณ ๒ ทุ่ม ใช้เวลาเดินทางเพียง ๑ ชั่วโมง ก็กลับมาถึงศีรษะอโศก วันนี้โชเฟอร์ขับรถเข้าด้านหลังร้านน้ำใจ เวลาประมาณ ๓ ทุ่ม ร้านน้ำใจมีไฟสว่างไสวไปทั่ว เพราะเราไม่มีคนเฝ้า จึงใช้ไฟฟ้าเฝ้าแทน หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ไฟก็หรี่และดับลง ทุกคนต่างก็เข้านอนด้วยความอ่อนเพลีย เพราะทำงานหนักกันอย่างเต็มที่มาแล้ว ๒ วัน ตัวดิฉันเองนอนไม่หลับสนิทนัก ก็ ได้ยินเสียงตะโกน "ไฟไหม้....ไฟไหม้ร้านน้ำใจ" ดิฉันสะดุ้งตื่น รีบลงจากบ้าน

ผู้คนมาเต็มอยู่ที่เกิดเหตุ เสียงร้องไห้และบ่นพึมพำว่า ไฟไหม้เกิดจากอะไร....เกิดจากอะไร...ดิฉันเอง

ตั้งสติรีบวิ่งหาโทรศัพท์ โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้เพราะพ่วงกับไฟฟ้า มือถือก็แบตเตอรี่หมด ดูอะไรๆขัดข้องไปหมดทุกอย่าง รีบวิ่งตรงไปที่ร้านน้ำใจ ไฟลุกโพลง....เสียงระเบิดตามมา

ดิฉันได้แต่ตะโกน "อย่าวิ่งเข้าไปนะ ขอให้เราตั้งสติ รักษาสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด" สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ปั๊มน้ำมัน กลัวจะระเบิดเพราะอยู่ใกล้ที่สุด แต่เราก็สามารถรักษาไว้ได้ ประมาณเที่ยงคืนไฟจึงสงบลง

ไฟสงบ.....ใจสงบ....การโกรธแค้นไม่เกิดขึ้น เพราะเราได้ฝึกปฏิบัติธรรมมาหลายปีแล้ว ที่สุดของชีวิตคือธรรมะ ที่ไฟ-น้ำและสิ่งอื่นๆไม่สามารถทำลายได้ ไม่ได้เสแสร้งแต่เป็นเรื่องจริง

สิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นมา "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม" หากเรามองเผินๆ คงเจ็บปวดว่า ทำไม? ธรรมะไม่ช่วยเราเลย ทำไม?ปล่อยให้ร้านน้ำใจไหม้ไปหมดร้าน แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ บ่งชี้ให้เราเข้าใจธรรมมากขึ้น ความหมายคือ ธรรมรักษาใจของผู้ประพฤติธรรม ไม่ได้รักษาสมบัตินอกกาย ไฟไหม้ครั้งนี้ชัดเจนยิ่งขึ้นจริงๆ

ชาวบ้านที่เคยใช้บริการร้านน้ำใจพอมาเห็นสภาพ บางคนก็ถึงกับสาปแช่งคนเผา คนที่คอยปลอบใจเขาเหล่านั้นคือ ชาวชุมชนศีรษะอโศกนั่นเอง "อย่าไปสาปแช่งเขาเลย เขาเผาเขาก็บาปมากพอแล้ว ให้โอกาสชาวศีรษะอโศกตั้งตัวใหม่ด้วยนะคะ ขอขอบพระคุณทุกคนมากค่ะ"

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังไฟไหม้

๑. เห็นน้ำใจของญาติธรรม สามารถพึ่งเกิด-แก่-เจ็บ-ตายกันได้จริงๆ ทั้งพุทธสถาน สังฆสถาน กลุ่มชุมชนชาวอโศกและญาติธรรมภายนอก ทั้งโทรศัพท์และจดหมาย พร้อมทั้งนำเงินมาช่วยเหลือ ขอขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วย

๒. กลุ่มพี่น้องข้างเคียง ทุกองค์กรในจังหวัดศรีสะเกษ มาให้กำลังใจและกำลังทรัพย์ เด็กนักเรียน โรงเรียนกระแซงวิทยา ที่เคยมาอบรมที่ศีรษะอโศก ได้รวบรวมเงินค่าขนมของตนเองมาช่วยด้วย ศีรษะอโศกขอขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วย

๓. เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในศีรษะอโศกอย่างมากมาย ทุกคนร่วมกันคิดว่า เราต้องเริ่มต้นใหม่ เหมือนกับครั้งแรกที่เราสร้างศีรษะอโศก มีข้อสรุปดังนี้คือ

๓.๑ เพิ่มศักยภาพของทุกคน ทุกหน่วยงาน ทั้งทางด้านคุณธรรมและการงาน เพราะเดิมทีเดียว เรามีรายได้ จากร้านน้ำใจ เดือนละประมาณ ๑,๐๔๐,๐๐๐ บาท ส่วนต่าง ๑๐๔,๐๐๐ บาท ส่วนต่างนี้หายไปกับพระเพลิง จึงต้องเพิ่มศักยภาพ ดังรายละเอียดต่อไปนี้

รายจ่ายของชุมชนศีรษะอโศก เดือนละประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท

ฐานงาน
ที่มีรายได้
เดิมมีรายได้
ส่วนต่าง
เพิ่มศักยภาพ
ส่วนต่าง
แชมพู
178,295
17,800
200,000
20,000
ว.ท.เพื่อชีวิต
25,516
2,500
30,000
3,000
เพาะชำ
60,960
6,000
60,000
6,000
น้ำผลไม้
12,000
1,200
20,000
2,000
แปรรูป 1
13,000
1,300
20,000
2,000
แปรรูป 2
15,000
1,500
20,000
2,000
โรงสี
500,000
50,000
600,000
60,000
ปุ๋ย
100,000
10,000
200,000
20,000
จักสาน
11,065
1,000
20,000
1,000
จุลินทรีย์เพื่อดื่ม
16,391
1,600
20,000
2,000
จุลินทรีย์ซักล้าง
10,000
1,000
20,000
2,000
ยาดี
127,025
12,000
200,000
20,000
ร้านไร้สารพิษ
256,083
25,000
300,000
30,000
รวม
1,325,335
130,900
1,710,000
171,000

แม้เพิ่มศักยภาพแล้ว รายได้ยังไม่พอกับรายจ่าย ยังขาดอยู่ ๒๙,๐๐๐ บาท จำเป็นต้องลดรายจ่าย

๓.๒ การลดรายจ่ายของชุมชนศีรษะอโศก

มีหลักการในการลดรายจ่ายของชุมชนคือ

๑. ลดการใช้โปรตีนเกษตร ดังนี้
     ๑.๑ ผลิตเต้าหู้ วันละ ๒๐ ก.ก. เป็นเงิน ๔๐๐ บาท/วัน ๑๒,๐๐๐ บาท
     ๑.๒ ผลิตเห็ด วันละ ๒๐ ก.ก. เป็นเงิน ๔๐๐ บาท/วัน ๑๒,๐๐๐ บาท

๒. งดการซื้อผักจากตลาด ลดได้วันละ ๕๐๐ บาท เป็นเงิน ๕๐๐ บาท/วัน ๑๕,๐๐๐ บาท

๓. ลดการซื้อซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว กะปิ ปลาร้า
     เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท
     ลดรายจ่าย รวมเป็นเงิน ๕๙,๐๐๐ บาท

การเพิ่มศักยภาพ+การลดรายจ่าย ๑๗๑,๐๐๐ + ๕๙,๐๐๐ = ๒๓๐,๐๐๐ บาท

ชุมชนศีรษะอโศก พออยู่ได้

๓.๓ ไม่ก่อหนี้สิน เจียมเนื้อเจียมตัว ชาวชุมชนศีรษะอโศกคาดว่า พวกเราจะสามารถผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน

 

ขวัญดิน สิงห์คำ
รายงาน

   Asoke Network Thailand