สารบัญ
[1]
รักมิติที่1
[2]
รักมิติที่2
[3] รักมิติที่3
[4] รักมิติที่4
[5] รักมิติที่5
[6] รักมิติที่6
[7] รักมิติที่7
[8] รักมิติที่8
[9] รักมิติที่9
[10] รักมิติที่10
[11]ถาม-ตอบ
[12]ถาม-ตอบ
[13]ถาม-ตอบ
[14]ถาม-ตอบ
[15]ถาม-ตอบ
[16]ถาม-ตอบ
"ความรัก ๑๐ มิติ"
เรียบเรียงจาก
คำบรรยายของ
พระโพธิรักษ์
ที่วิทยาลัยครูเชียงใหม่
และที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘
"ความรัก... เป็นความทุกข์
ถ้าใครยังมีความรักอยู่
ยังอยากทุกข์อยู่
ก็จงทุกข์ให้มีประโยชน์
คือให้แผ่กระจายความรัก
ออกไปให้มีอาณาเขต
กว้างขวาง...
อะไรที่เป็นความรัก
ที่เห็นแก่ตัวมากที่สุด
หรือแผ่ประโยชน์ไว้
ในวงแคบที่สุด
เลิกเสียเถอะ ! "
บรรณศาสน์ อศ. ๐๑๐ พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์มูลนิธิธรรมสันติ
พิมพ์ครั้งที่ ๑
จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม
ก.ย. ๒๕๑๘
พิมพ์ครั้งที่ ๒
จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม
ต.ค. ๒๕๒๑
พิมพ์ครั้งที่ ๓
จำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม
มิ.ย. ๒๕๒๔
พิมพ์ครั้งที่ ๔
จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม
ก.ย. ๒๕๒๔
พิมพ์ครั้งที่ ๕
จำนวน ๘,๐๐๐ เล่ม
ต.ค. ๒๕๒๔
พิมพ์ครั้งที่ ๖
จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม
ก.พ. ๒๕๒๘
พิมพ์ครั้งที่ ๗
จำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม
มี.ค. ๒๕๓๒
พิมพ์ครั้งที่ ๘
จำนวน ๒,๐๐๐ เล่ม
พ.ย. ๒๕๔๒
พิมพ์ที่ :
บริษัท ฟ้าอภัย จำกัด
๖๔๔ ซอยเทียมพร ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. ๑๐๒๔๐
โทร. ๓๗๕-๘๕๑๑
โทรสาร ๓๗๕-๗๘๐๐
จัดจำหน่ายโดย :
ธรรมทัศน์สมาคม
โทร. ๓๗๕-๔๕๐๖
|
ความรัก ๑๐ มิติ
(ของเดิม)
พระโพธิรักษ์
ความรักในโลกประมวลลงแล้วจากต่ำสุดถึงสูงสุด
ก็สรุปลงได้เป็น ๑๐ มิติ ด้วยประการดั่งนี้
มิติที่ ๑ ความรักที่เลวที่สุด
ไร้ค่าที่สุด คือ ระหว่างเพศ หรือเมถุน เพราะเห็นแก่ตัวในวงแคบที่สุด
มีอารมณ์ร่วมอยู่นิดเดียว แต่จ่ายเหลือเกิน ใช้จ่ายเหลือเกิน
เรียกว่า กามนิยม (หรือ ทารกริยานิยม หรือ เมถุนนิยม)
มิติที่ ๒ ความรักระหว่างสายโลหิต
พ่อ-แม่-ลูก ก็ยังเห็นแก่ตัวอยู่ในวงแคบมาก เรียกว่า พันธนิยม
(หรือ ปิตปุตตานิยม)
มิติที่ ๓ ความรักสูงขึ้นไปอีกหน่อย
เห็นแก่วงศา คณาญาติ ช่วยเหลือเกื้อกูลหมู่ญาติกว้างขวางขึ้นอีกนิดหนึ่ง
เรียกว่า ญาตินิยม
มิติที่ ๔ เริ่มขยายออก
สู่มวลชน แค่ยังอยู่ในวงแคบแค่หมู่กลุ่ม แค่เพื่อนฝูง ในสังคมส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือในหมู่บ้าน ในตำบล ในอำเภอ อย่างเก่งก็แค่จังหวัด หรือรัฐแต่ละรัฐ
อะไรอย่างนี้เป็นต้น เรียกว่า สังคมนิยม (ไม่ว่าสังคมเก่า
หรือ สังคมใหม่)
มิติที่ ๕ แผ่ขยายออกไปถึงประเทศชาติ
เป็นความรักแบบ ชาตินิยม เพิ่มทุกข์มากขึ้น (เพื่อสังคมส่วนใหญ่จริงๆ
ลดแวดวงแคบๆ โดยเฉพาะลดความสุขส่วนตัวลงอย่างมากจริงๆ จน เห็นเด่น
มีน้ำหนักชัด)
มิติที่ ๖ ไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีชนชาติ
ไม่มีผิวพรรณ ทั่วโลกเลย เป็นความรักที่แผ่ขยายกว้างไกลออกไปสู่มวลชนอันไพศาล
เป็นความรักแบบ สากลนิยม ทุกข์มากขึ้นไปอีก แต่ก็เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้น
มิติที่ ๗ เป็นความรักอย่างพระเจ้า
รักหมดทุกอย่างเลย ทุกมวลมนุษยชาติ ทุกสรรพสิ่ง จะช่วยเหลือให้ได้หมด
ซึ่งก็คือ พลังสร้างสรร นั่นเอง เรียกว่า เทวนิยม
มิติที่ ๘ ความรักของผู้ที่กำลังแตกอัตตาเป็นอนัตตา
เป็นความรักที่กำลังลดความรัก คือ พระ (ที่เรียนแท้ปฏิบัติจริง)
หรือผู้ปฏิบัติธรรม ทางศาสนาที่มีอนัตตาเป็นที่สุด เช่น ศาสนาพุทธ
เป็นต้น ศาสนาพุทธมีอนัตตาเป็นที่หมายและกำลังแตกอัตตาออกเป็นอนัตตา
ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีความรัก ไม่เห็นแก่ตัว เป็นหลักฝึกและลดความรัก-ความชอบ-ความสุข-ความติด-ความหลงเสพย์กันจริงๆ
จากขั้นที่รู้ว่าต่ำขึ้นมาหาสูงอย่างรู้ตัวเอง รู้ระดับจริงๆให้ถูกตรง
จึงเรียกว่า สัจนิยม
มิติที่ ๙ คือ ความรักของพระอรหันต์
คือ การหมดความรักโดยสิ้นเชิง พอเป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีความรักแล้ว
เพราะสามารถทำลาย อัตวิสัย ได้โดยสิ้นเชิง เรียกว่า วิมุตินิยม
มิติที่ ๑๐ เป็นความรักของพระโพธิสัตว์กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งไม่มีความรักเลย
มีแต่ ความรู้ เรียกว่า โพธิญาณ หรือปัญญาตรัสรู้ที่จะรู้โลก
และ จะช่วยโลกอย่างเต็มกำลังเรียกว่า พุทธภูมินิยม หรือ ธรรมนิยม
สรุปแล้ว ความรักคืออะไร ก็คืออย่างที่ได้อธิบายมาแล้วนี้
เป็นอะไร ? เป็นความทุกข์ ถ้าใครยังมีความรักอยู่ ยังอยากทุกข์อยู่
ก็จงทุกข์ให้มีประโยชน์ คือให้แผ่กระจายความรักออกไปให้มีอาณาเขตกว้างขวาง
ก็ไม่ว่า แต่อะไรที่เป็นความรักที่เห็นแก่ตัวมากที่สุดหรือแผ่ประโยชน์ไว้ในวงแคบที่สุด
เลิกเสียเถอะ !
สุดท้ายคุณจะไม่มีความรักเลย แต่คุณช่วยโลกได้โดยไม่มีความรัก
และช่วยจริงๆ ทำค่า ทำความดี ช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างไม่ต้องรัก
อันนี้เป็นยอดอุดมคติ คิดคำนวณยาก แต่มีจริง เป็นจริงอย่างพระอรหันต์แบบศาสนาที่มีอนัตตาธรรมเป็นหลัก
อย่างพระโพธิสัตว์แท้กับพระพุทธเจ้า เป็นต้น จบเรื่องความรัก
๑๐ มิติ
|
คำนำ
ความรักอื่นใดจะเสมอด้วยความรัก "อัตตา"
นั้น ย่อมไม่มี นี้เป็นพระพุทธพจน์ ที่กล่าวถึงธรรมดาของปวงสรรพสัตว์
ที่ย่อมรักและหวงแหนในชีวิตของตน และสิ่งที่หลงยึดว่าของของตน
เพราะความไม่รู้ถึงสัจธรรมแห่งการมีชีวิต จึงทำให้มีความรักในตน
ในของของตนเองอย่างมาก เรียกว่า "อัตนิยม" อันเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว
ตั้งแต่อยู่ในแวดวงแคบที่สุด และเป็นต้นเงื่อนของความรัก แล้วจึงคลี่คลายขยายตัว
จากความรักตนเองอันแคบที่สุด เล็กที่สุดนี้ออกไปสู่มิติอื่นๆ
จึงเว้นไว้ ไม่ได้สาธยายถึง เพราะย่อมแจ้งกันดีอยู่แล้ว จึงจะขอขึ้นต้นมิติที่
๑ ด้วยความรักที่เริ่ม แผ่ขยายแวดวงออกไปจากจุดเล็กสุดที่มนุษย์จะพึงหลงกันใน
ความรักแบบ "อัตนิยม" ไปหา "อนัตนิยม" เป็นที่สุด
"ความรัก ๑๐ มิติ" นี้ ได้เรียบเรียงตัดต่อจากการบรรยายในสถานที่
๒ แห่งด้วยกัน คือที่วิทยาลัยครูเชียงใหม่ และที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ซึ่งก็ได้แก้ไขเพิ่มเติมส่วนที่ยังขาดตกบกพร่องอยู่ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งภาษาสำนวนในการบรรยายอันเป็น "ภาษาพูด"
ธรรมดา ทั้งนี้เพราะมีเจตนารมณ์ ในการที่จะ "สื่อความหมาย"
สู่ปวงชนให้เข้าสู่เนื้อหาสาระที่แท้ ด้วยสื่อความหมายทางภาษาที่เรียบง่ายและเป็นกันเอง
อันก่อให้เกิดอารมณ์ร่วม
ด้วยเหตุว่า วัฒนธรรมทางภาษาหนังสือในทุกวันนี้
ถูกจำกัดให้อยู่ในแวดวงอันคับแคบของปัญญาชน ซึ่งมักจะนิยมใช้รูปแบบอันภูมิฐานของภาษาหนังสือมาเป็นกำแพงขวางกั้น
ทำให้การถ่ายทอดเนื้อหาสาระ ไม่สามารถแผ่ขยายเข้าถึงระดับมหาชนทั่วๆไป
ก็จริงอยู่ ที่ว่ารูปแบบอันงดงามของภาษา เป็นเครื่องบอกวัฒนธรรมอันสูงส่ง
แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าหากว่าความสูงส่งนั้นได้แยกตัวเองให้ห่างไกลจากคนส่วนใหญ่
เหมือนยืนอยู่บนหอคอยงาช้าง
จึงขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านหนังสือเล่มนี้มาก
สักหน่อย เพื่อที่จะได้เข้าถึงเนื้อหาสาระอันเป็นแก่นแท้ อย่าผ่านเลยไป
เพียงเพราะว่า ไม่ต้องใจในรูปแบบที่เป็นเปลือกนอก เพราะว่า เนื้อหาสาระที่เป็นสัจธรรมนั้น
ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในรูปแบบ อันโอ่อ่า อัครฐาน มิใช่หรือ
?
|