ความรัก ๑๐ มิติ
โดย พระโพธิรักษ์
ตอบปัญหาที่นักศึกษาถาม หลังการบรรยายที่หอประชุมวิทยาลัยครูเชียงใหม่
วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๑๘
ถาม ผมมีความข้องใจในคำปาฐกถาของท่านบางตอน
คือดังนี้ ความรักแบบที่ ๑ กับความรักแบบที่ ๓ ที่ว่ามีความรัก
ในกามคือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส แตกต่างกันอย่างไร ช่วยอธิบายให้แจ่มแจ้งด้วยครับ
ตอบ ความรักแบบที่ ๑ คือ รูป รส กลิ่น
เสียง สัมผัส เต็มครบ รูปสวยก็น่าเจี๊ยะ เสียงเพราะก็น่าเจี๊ยะ
กลิ่นหอมก็ น่าเจี๊ยะ น่าเจี๊ยะทั้งนั้นน่ะ จนสัมผัสเสียดสีก็น่าเจี๊ยะ
เรื่องผู้หญิงผู้ชายเต็มครบ ก็พากเพียรแสวงหากัน ลงทุนลงรอนกันเพื่อเสพย์
สมสุขสมในเรื่องของกามารมณ์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รองมาก็เรื่องอาหารมี
๔ ทวาร แต่เดี๋ยวนี้ก็สร้างจนครบ ๕ แล้ว ก่อนนี้อาหารก็มีแต่
รูป รส กลิ่น สัมผัส "เสียง" ไม่มี คือรูป ต้องตาก็น่ากิน
รสถูกลิ้นก็น่ากิน กลิ่นต้องจมูกก็น่ากิน สัมผัสเข้าจริงยิ่งต้องใจ
ก็ยิ่งยั่วยวนชวนให้น่ากินซ้ำเข้าไปอีก ในอาหาร ไม่มีเสียงยั่วยวนชวนกิน
แต่เดี๋ยวนี้ก็ไปจ้างวงดนตรีมาประโคมเข้าที่โรงอาหาร หลอกคน
คนก็งมงาย เอ้า ไปกิน เติม "เสียง" อีกอันหนึ่งมาเพิ่มขึ้นให้ครบทุกทวาร
อาหารก็เลยต้องแพงขึ้นเพราะหลงกาม เพราะบ้ากามกัน เอ้า อยากบ้าก็บ้ากันเข้าไป
แล้วจะสังเกตได้ว่า แรก ๆ มีแต่เพลงเพื่อเพิ่ม "เสียง"
จริงๆ ต่อมาก็ยิ่งจะเห็นความ "บ้ากาม" ของคนหนักขึ้น
เพราะมันไม่ใช่เพียงเพิ่มแต่เสียงเสียแล้ว มันเพิ่ม "กามคุณ
๕" ให้หนักขึ้นชัดๆ แล้วอาหารก็แพงหูดับตับไหม้ขึ้นไปทวีคูณ
นี่คือล้วนแล้วแต่รักกาม หลงกาม อันเป็นความรักแบบที่ ๑ ทั้งสิ้น
ความรักแบบที่ ๑ นั้น แบบที่เห็นแก่ตัว
ลุ่มหลงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ดังที่ยกตัวอย่างนั้น มันคือการเสพอารมณ์สุขสมใจเฉพาะตนเท่านั้นจริงๆ
ไม่เผื่อแผ่อะไรแก่ใคร แสดงอาการเสียดสีสัมผัสให้สมอารมณ์ตนด้วยทวารที่
๕ โดยใช้สิ่งประกอบ ตั้งแต่คนสองคน คู่ผัวตัวเมียหรือคู่รักเฉยๆ
เสพอารมณ์ร่วม
ชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงเห็นแต่แก่ตัวคนเดียว หรืออย่างมากก็เห็นแก่กันและกันอยู่เพียง
๒ คนเท่านั้น มีอะไรก็จะให้แก่เราสองคนนี้ เท่านั้น
ส่วนความรักแบบที่ ๓ ก็หมายความว่าเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ให้แก่ผู้อื่นในบ้าน ในหมู่ญาติกว้างขวางขึ้น ไม่เห็นแก่ตัวหรือ
แค่คนเพียง ๒ คนเท่านั้น เริ่มมีการเสียสละแบ่งแจกออกมาแล้วมาเห็นแก่ลูก
เห็นแก่ญาติ แบ่ง "ความสุขสม" ให้แก่ลูกบ้าง ญาติต่างๆ
บ้าง ก็เป็นความดีขึ้น เพราะเป็นสภาพ แจกจ่ายเสียสละแบ่งปัน
ไม่ขี้โลภไว้เสพย์ ไว้ผลาญแต่ผู้เดียว ยังรู้จักแบ่งให้ผู้อื่นกว้างขวางขึ้นไปอีกบ้าง
คนที่มีความกล้าเสียสละ แม้จะเพียง
แค่แต่กับญาติๆ เป็นอย่างเก่งนี้ จึงดีขึ้นกว่าความรักแบบมิติที่
๑ แต่ก็ยังเล็กแคบเหลือเกิน จงหัดกล้าเสีย กล้า "ให้"
ให้กว้างขวาง แผ่ไกลสู่มวลชนออกให้มากๆ กว่านี้ ยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด
ถ้ามันไม่กล้าเสีย จะสร้าง "ความรัก" ผู้อื่นขึ้นมาบ้างก็ได้
หาอุบายเร่งเร้า ปลุกระดมให้รัก ให้มีความรักในมวลชนขึ้นมาก่อนก็เอา
จะได้กล้าเสียสละ กล้า "ให้" แก่ผู้อื่นได้ และทำลงไปจริงๆ
ได้ หากแม้มันไม่สามารถมีอภิปัญญารู้กันได้ว่า การเสียสละ
การให้นั้นเป็นยอด แห่งความดีแท้ๆ "ให้"
โดยไม่ต้องรัก ก็ได้จริงๆ และจะเป็นการให้ที่ไม่ลำเอียงเลยด้วย
แต่เพราะคนมีกิเลสมาดั้งเดิมจะ ให้ ได้ก็ต่อเมื่อรักนั่นเอง
จึงต้องมาเสียเวลาปลูกความรักเสียก่อนจึงจะให้ จึงจะยอมเสียสละ
ดังนั้น ผู้ไม่มีกิเลสจึงให้ได้เสมอๆ ทั้งที่ไม่รัก
ช่วยได้ทั้งที่ไม่อยาก และทำงานมากมายได้โดยไม่ต้องมี "เครื่องล่อ"
ไม่ต้องมี "สิ่งแลก" จริงๆ
ถาม มูลนิธิ ร็อคกี้ เฟลเลอร์ ทราบข่าวว่า
แฝงมาในรูปของ ซี ไอ เอ และการให้ของมูลนิธินี้ ให้เพื่อหวังผลตอบแทน
อย่างนี้จะเรียกว่า เป็นความรัก เพื่อเพื่อนร่วมโลก อย่างบริสุทธิ์หรือ
?
ตอบ อาตมาก็อธิบายไปแล้วในเนื้อหาว่า
ถ้าเขายังมีกิเลส มีความต้องการผลตอบแทนอยู่ อาตมาก็บอกว่ายังเลวอยู่
ถ้าเผื่อให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ หวังผลตอบแทนก็ดี
ถาม หากบุตรหลานทุกคนเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ที่ว่า
ลูกเอ๋ย...อย่าแต่งงานเลย เพื่อจะได้ใช้ชีวิตทำงานเพื่อ เพื่อนมนุษย์อย่างอิสระ
หากบุตรหลานเชื่อฟังหมด ต่อไปจะ ทำงานกับใครและเพื่อใคร มนุษย์ก็มิสูญพันธุ์หมดโลกไปหรือ
ตอบ อาตมาขอแสดงความเห็นใจอย่างยิ่งต่อบุคคลที่กลัวว่าโลกจะสูญมนุษย์
คุณคนหนึ่งจะทำได้ไหม จะไม่ให้มนุษย์เกิดมา สักคนหนึ่งเพราะฝีมือของคุณ
คุณจะรักษา ได้ไหม อาตมากลัวว่าคุณจะ อย่างน้อยก็สัก ๕ คนน่ะนา
มันไม่ง่ายนะ คุณนะ คนที่ทำได้ต้องกราบไหว้ เพราะถือว่าเป็นพระอริยะ
หรือเป็นผู้ที่ตัดกิเลสเรื่องนี้ได้ ไม่ง่ายนะ คนที่ไม่ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้นี่
เป็นคนที่ทำประโยชน์แก่โลกแล้วนะ เพราะเป็นผู้ช่วยเศรษฐกิจของโลกโดยการไม่เพิ่มพลโลก
ถ้ายิ่งตัดได้ อย่างนั้นแล้ว คุณเอ๋ย...ไม่ใช่ของง่าย
ความเป็นจริงนั้น ไม่ใช่จะมามัวกลัวคนจะหมดโลก
แต่ต้องกลัวคนจะล้นโลกต่างหาก
ถาม กรณีบทบาทของพระในกลุ่มนวพลเป็นความรักหรือความเลว
ตามความเห็นของท่าน
ตอบ กลุ่มนวพลนี้ตามความเข้าใจของอาตมา
ตามที่ได้รับรู้ข่าวคราวจากทางหน้าหนังสือพิมพ์ก็คือ พวกกลุ่ม
"อนุรักษ์นิยม" พวกหนึ่ง ซึ่งก่อตั้งขบวนการขึ้นเพื่อต่อต้านพวก
ฝ่าย "สังคมนิยม" (ใหม่) ซึ่งต้องการความเปลี่ยนแปลง
หมายความว่า ือกลุ่มของพวกที่ต้องการพิทักษ์ ระบบ วัฒนธรรมจารีตประเพณีและโครงสร้างของสังคมแบบเดิมหรือ
สังคมนิยมเก่าแล้วก็ต่อต้านพวกที่จะมาทำลายสิ่งต่างๆ ดังกล่าวนี้ด้วยวิธีการต่างๆ
นานา ตามที่กำลังมีบทบาทอยู่ในขณะนี้
พฤติกรรมของกลุ่มนวพลนี้ ถ้าหากไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังที่เป็นการมุ่งหวังผลประโยชน์ในแวดวงแคบๆ
จากทางใดทางหนึ่งแล้ว คือว่ามีเจตนาอันบริสุทธิ์ใจจริงๆ ในการที่จะดำเนินการปกป้องรักษาสถาบันต่างๆ
ตามอุดมการณ์นั้นๆ จริงแล้ว ก็จัดอยู่ในระดับความรักมิติที่
๕ โดย "อุดมการณ์" หรือมิติที่ ๔ ตาม "พฤติการณ์"
ที่กำลังดำเนินอยู่อันคือ ความรักระดับ "ชาตินิยม"
(เดิม)หรือระดับ "สังคมนิยม" แบบเก่า คือ แบบอนุรักษ์ในแวดวงที่แคบลง
มาซึ่งเขาก็จะต้องมี มาตรการ หรือ มีการดำเนินงานในการที่จะอนุรักษ์
หรือพิทักษ์รักษาสถาบันต่างๆ เหล่านั้น ตามกำลังความคิดหรือกำลังความสามารถของเขา
ส่วนทางด้านฝ่าย "สังคมนิยม" (ใหม่)
ซึ่งต้องการความเปลี่ยนแปลงโดยมีความคิดเห็นว่าระบบต่างๆ ทางวัฒนธรรมและสังคมแบบเดิมนั้น
จำเป็นจะต้อง "ปฏิวัติ" หรือเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ มีอุดมการณ์ที่จะสร้างสรรสังคมใหม่ที่มีความเท่าเทียมกันในการดำรงชีวิต
หรือ สภาพความเป็นอยู่ โดยไม่จำกัดขอบเขต ของเชื้อชาติ และ ผิวพรรณ
"อุดมการณ์" แบบนี้จัดอยู่ในความรักมิติที่ ๖ คือ
ความรักแบบ "สากลนิยม" ซึ่งขยายแวดวงออกสู่มวลชนอันไพศาล
แต่โดย "พฤติการณ์" แล้ว ยังคงอยู่ในขั้นตอนของมิติที่
๔ เช่นกัน และด้วยเหตุที่ยังมีการแบ่งแยก "มิตร" และ
"ศัตรู" อยู่ จึงทำให้ทางฝ่ายนี้ ต้องใช้ยุทธวิธี
ในการทำลายความขัดแย้งต่างๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออุดมการณ์ของเขา
จากอุดมการณ์และความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันของทั้งสองฝ่ายนี้เอง
จึงทำให้เกิดการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ในเมื่อฝ่ายหนึ่งต้องการ
จะรักษาเสถียรภาพ หรือความมั่นคง ปลอดภัยของสถาบันต่างๆ ตามอุดมการณ์ของตน
และอีกฝ่ายหนึ่งมีเจตน์จำนงที่จะสร้างสรรสมภาพ หรือ ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
ขึ้นในสังคมใหม่ ตามเจตนารมณ์ของตน โดยการปลุกระดมมวลชนขึ้นต่อสู้เพื่อปลดแอกและทำลายล้างระบบต่างๆ
ของสังคมเก่าเสีย ความขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์ ต่อกันนี้เอง ทำให้สองฝ่ายตั้งตนเป็นศัตรูกัน
และสำหรับพระภิกษุที่เข้าร่วมมีบทบาทอยู่ในกลุ่มนวพลนั้น
อาตมาเองก็ยังไม่ทราบรายละเอียดนักว่า ได้เข้าร่วม เกี่ยวข้องกันมากน้อยแค่ไหน
จึงยังไม่สามารถวินิจฉัยได้อย่าง ชัดเจนนักว่าจะเป็น "ความรัก"
หรือ "ความเลว" ในระดับไหน แต่โดยฐานะหน้าที่แล้ว
พระภิกษุในพุทธศาสนา จะต้องเป็นผู้ที่มีความรักในระดับมิติที่
๘ อันเป็นความรักในระดับที่จะต้องทำลายล้าง "อัตวิสัย"
หรือความคิดเห็นในวงแคบๆ ที่ขึ้นอยู่กับ ผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลักใหญ่หรือพูดง่ายๆ
ก็คือ ล้าง "ความเห็นแก่ตัว" นั่นแหละ
พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานั้นจะต้องทำลายความเห็นแก่ตัว
โดยการปฏิบัติตนลดละความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย(กิเลส)ต่างๆ อันเป็นส่วนเกินของชีวิต
ลดความเป็นทาสวัตถุ และลดความ หลงใหญ่หลงโตตามที่ได้อธิบายไว้ในความรักมิติที่
๘ เพื่อที่จะได้เข้าถึงความ "พอดี" ของชีวิต และมีชีวทัศน์หรือความเข้าใจใน
ความเป็นจริง แห่งการดำรงชีวิตอยู่อย่างลึกซึ้ง มี "ประโยชน์สูง
ประหยัดสุด" อยู่ตลอดเวลา ทำให้ความเห็นแก่ตัวลดน้อยลงไป
และจะหมดสิ้นไปเมื่อบรรลุถึงระดับมิติที่ ๙ อันเป็นระดับที่ทำลายอัตวิสัยได้โดยสิ้นเชิง
จากการเข้าถึงสภาพ "อนัตวิสัย" หรือถ้าจะเรียกว่า
"ภาววิสัย" ก็จะต้องมีปัญญาหรือความเข้าใจสภาพจริงต่างๆ
ที่เกิดขึ้นทั้งด้านรูปธรรมและนามธรรมอย่างกระจ่างแจ้งตามความเป็นจริง
หมดความคิดแบบเห็นแก่ตัวเองเป็นหลักอย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง ทำให้มีโลกทัศน์
หรือ ความเข้าใจความเป็นไป ของโลกในแวดวงที่แผ่ขยายกว้างขวางขึ้น
และก็จะทำการเผยแพร่สัจธรรมนี้ออกสู่ปวงชนต่อไป นี่คือ หลักการที่พระสงฆ์ในพุทธศาสนา
พึงปฏิบัติเพื่อบรรลุถึง เป้าหมายที่แท้จริงในการบวช
สำหรับเรื่องการเข้าร่วมมีบทบาทในกระบวนการหรือหมู่กลุ่มต่างๆ
นั้น ก็จะต้องใช้วิจารณญาณให้มาก ไม่เช่นนั้น ก็อาจจะกลายเป็นการทำลายศาสนา
โดยการทำให ้สถาบันศาสนาตกเป็นเครื่องมือรับใช้กลุ่มประโยชน์ทางการเมือง
อันเป็นการทำให้ค่านิยมของศาสนาเสื่อมลง เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ในแวดวงสังคมแคบๆ
ส่วนที่ว่าจะเป็นความรักหรือความเลวนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเจตนาที่กระทำ
ถ้าการกระทำนั้นเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ ของตนเอง หรือเพื่อกลุ่มของตนเองเล็กๆ
น้อยๆ อันเป็นการเห็น แก่ตัว การกระทำนั้นก็เป็นความเลว แต่ถ้าหากว่าการกระทำนั้นเป็นไปเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว
การกระทำนั้นก็เป็นคุณความดี ก็ขอให้วินิจฉัย กันเอาเองโดยเอามาตรการนี้เป็นสูตรตัดสิน
ถาม ทำไมพระภิกษุบางรูปจึงมีรถเก๋งขี่
มีทีวีดู มีบุหรี่ก้นกรองสูบ ในขณะที่ผู้ให้ทานต้องอดมื้อกินมื้อ
โง่งมงาย ทำไมพระภิกษุ จึงไม่เทศนา ในเรื่องของการประหยัดแก่ผู้ให้ทานที่ยากไร้
ตอบ พระที่ขี่รถเก๋งก็คงจะสอนเรื่องประหยัดเหมือนกัน
ในบางท่าน บางท่านอาจจะไม่รู้เรื่องการประหยัดเลย อาจจะสอนแต่ว่าเอามาให้เรา
! เอามาให้เราก็ได้ แต่บางท่าน แม้แต่ขี่รถเก๋ง ดูทีวี สูบบุหรี่ก้นกรองก็ตาม
ท่านก็อาจจะสอนถึงเรื่องของ การประหยัดบ้างในบางองค์บางรูป อย่าไปเหมาหมู่เสียหมดเลย
ทีนี้จำกัดประเด็นเข้าไปอีก แม้ท่านจะสอนว่าประหยัดเถิด
"พระ" องค์นั้นก็ผิดแล้วเพราะท่านเองก็ไม่ประหยัด
ระบบศาสนาพุทธนั้น ไม่ได้สอนให้มีรถเก๋งขี่ ดูทีวี สูบบุหรี่ก้นกรอง
ไม่ใช่อย่างนั้น "พระ" จะต้องลดสิ่งที่ไม่จำเป็นลง
ไม่จำเป็นต้อง มีรถเก๋ง ถ้าใครอยากจะนิมนต์มีรถเก๋งให้ขี่ก็เชิญ
เป็นธุระของเขา ไม่ใช่ว่าจะมีรถเก๋งขี่เพื่อที่จะเอาความสบายให้แก่ตัว
พระต้องเป็นเพื่อนคนจน แสดงตนให้เห็นชัดว่า ถึงจนคนก็อยู่ได้
และไม่ต้องทุกข์ด้วย
ยิ่งถ้าหากมีทีวีดูก็แสดงว่า พระองค์นี้ไม่มีปัญญาเลย
เพราะทีวีในปัจจุบันนี้เป็นสื่อความเลว ไม่ใช่สื่อความดี จึงไม่ควรมีไว้ในบ้านเลย
อย่าว่าแต่พระ แม้แต่คนธรรมดา บ้านไหนไม่มีทีวีดู ในขณะนี้ ในปัจจุบันนี้
บ้านนั้นเป็นอารยชนหรือปัญญาชน บ้านไหนมีทีวีดู บ้านนั้นเป็นอนารยชนหรือเขลาชน
เป็นผู้ที่มอมเมาคน ในบ้านของตัวเอง ให้หลงในกามารมณ์ หลงในสิ่งที่ไม่เป็นสารัตถะมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะลูกของตัวจะโง่ยิ่งขึ้น เพราะได้รับแต่เรื่องมอมเมา
เพราะการส่งทีวีเดี๋ยวนี้มีแต่อบายมุขมากที่สุด
เป็นไปด้วยเรื่องบันเทิงเริงรมย์ที่ไม่ค่อยมีเนื้อหาสาระอะไร
นอกนั้นก็เรื่องประโลมโลกย์ เรื่องเฟะๆ บางทีอยู่ในไนท์คลับยังเอามาร้อง
มาเต้นสู่กันดูกันฟังด้วย บางทีหนังบ้าๆ บอๆ อะไรก็เยอะแยะ มากมายไม่ได้เรื่องอะไร
มีเนื้อหาสาระอยู่น้อยเปอร์เซนต์เต็มที
แม้จะเป็นข่าวคราวที่มีเนื้อหาสาระ เด็กก็ไม่ดูเอาด้วย ไปดูไอ้พวกไม่ได้เรื่องนั่นหมด
เพราะฉะนั้นเป็นยังไง ขาดทุนร้อยเปอร์เซ็นต์
ดังนั้น บ้านทีไม่มีทีวีจึงเป็นอารยชน บ้านที่มีทีวีในปัจจุบันเป็นอนารยชน
จำไว้ ไปลองคิดดู อย่าเพิ่งเชื่ออาตมาง่าย อาตมานี่อาจจะพูดอะไรชอบก๊ล
ชอบกล ก็ลองเอาไปคิดดู อย่าเชื่ออาตมาง่ายๆ ถ้าเห็น ดีแล้ว ผู้ใดจะทำให้ดีขึ้นก็จงพยายาม
ตราบจนต่อเมื่อสถานีโทรทัศน์ในเมืองไทยนี้จะปรับปรุงรายการให้ดีมีสารัตถะ
เมื่อนั้นค่อยซื้อทีวี นี่ มีข้อแม้เหมือนกัน ไม่ใช่ทีวีเขาไม่ดีนะ
ทีวีเป็นผลผลิตของวิทยาศาสตร์ที่มีประโยชน์ เป็นสื่อที่ดีทีเดียว
รวดเร็วทันใจและดีมาก แต่เอามาสื่อสารสิ่ง ที่เลวเสียนี่ ! แล้วแพร่ความเลว
แพร่อบายมุขให้เร็วยิ่งขึ้น เหมือนแพร่เชื้อโรคให้เร็วยิ่งขึ้น
ทีวีปัจจุบันนี้จึงเหมือนกับสิ่งที่แพร่เชื้อโรคให้เร็วยิ่งขึ้น
แย่เต็มทีเลย แต่ถ้าหากว่า เอามาสื่อสารในสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็จะดีมากเพราะเป็นผลดีเหลือเกิน
เป็นผลผลิต ทางวิทยาศาสตร์ที่ดี แต่คนเรานำมาใช้ไม่ดีเอง
ถาม ตามความคิดของท่าน สมควรหรือไม่ที่จะมีตำแหน่งยศของพระสงฆ์ไทย
?
ตอบ ถ้าตามความคิดเห็นของอาตมาแล้ว
ไม่สมควรเลยที่จะมีตำแหน่งยศของพระสงฆ์ไทย แต่ก็น่าเห็นใจเขา
เพราะเขาไม่รู้จะจัดระบบแบบไหน เมื่อเขาบวชกัน ในระบบที่บวชอยู่ทุกวันนี้
จนกระทั่งบวชเล่นก็ได้ ใครจะบวช ๓ วัน ๕ วัน บวชแก้บน บวช ตีกลองเถิดเทิงเล่น
๒ วัน ๒ มื้ออะไรก็ได้ แบบนี้อาตมาว่า มันก็น่าจะให้เขา มีระบบสงฆ์
มีขั้นมีตอน หมายความว่า มีตำรวจไล่ระดับกัน ตีเข่นกันด้วยกฎหมายของสงฆ์แบบนี้
เพราะไม่ยังงั้นไม่ได้นี่ เพราะไม่ใช่พระจริง เขาบวชกันเดี๋ยวนี้
ไม่ใช่พระจริง
พระที่มาบวชจริงหมายความว่า สละทางโลกแล้ว
อาชีพทางโลกก็ตัดปล่อยแล้ว ก็มาบวชทางนี้จริงๆ แล้วก็เดินทางไป
มีการเสียสละจริง มีการละโลภะ โทสะได้จริงๆ มันจึงจะ ปกครองกันได้โดยธรรม
โดยไม่ใช่ใช้หลักแห่งกฎหมายสงฆ์ที่มาบัญญัติกันขึ้นภายหลัง ยังงี้ไม่ต้องใช้
แต่ทุกวันนี้มันไม่บวชอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อประเพณีมีการบวชแบบนี้
ก็จำเป็นต้องมีกฎหมายสงฆ์แบบเหมือนกัน กับทางโลก มีสภาสงฆ์ มีอะไรๆ
เหมือนกัน แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันกลายเป็นเผด็จการ ดังที่เขาต้องการแก้ไขระบบเผด็จการให้เป็นระบบสภา
อาตมาก็ว่าดีเหมือนกันแหละ เป็นระบบสภาแบบที่โลก เขาใช้ เป็นระบบ
ประชาธิปไตยก็จะดีกว่าระบบผูกขาด แต่โดยจริงแล้ว อาตมาไม่เห็นควรในการมียศถาบรรดาศักดิ์
แต่ก็ยังต้องรู้ กาละโดยความจริงว่า เมื่อมันเป็นอย่างนี้ ก็ต้องแก้ไข
ไม่อย่างนั้นยิ่งเลวกว่านี้คุณ เพราะฉะนั้นในระหว่างนี้ก็ขอให้เป็นไปอย่างนี้ก่อน
|