ความรัก ๑๐ มิติ
โดย พระโพธิรักษ์
ตอบปัญหาที่นักศึกษาถาม หลังการบรรยายที่หอประชุมวิทยาลัยครูเชียงใหม่
วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๑๘
ถาม ที่ท่านบอกว่า มีอะไรให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันนั้น
ท่านคิดว่าเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมจะเอื้ออำนวยให้ทุกคนทำอย่างนี้ได้หรือคะ
คนที่จะทำอย่างนี้ได้ ก็ต้องประกอบกิจ ที่เห็นแก่ตัวมาก่อนแล้ว
บางทีเห็นแก่ตัวแล้วพอเศรษฐกิจดีแล้วก็ลืมเผื่อแผ่ไปเสียสิ้น
ตอบ ก็นั่นน่ะสิ ก็ถึงได้เตือนไว้ไงเล่า
ในความรักมิติที่ ๘ ถึงได้เตือนไว้จะประกอบกิจการใดที่จะทำให้ตนมีประโยชน์ที่สุด
ก็ไม่ว่า แต่ต้องรู้ความต่ำ คือ อบายมุขต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องของ
ความต่ำ อย่าไปแตะต้อง เอาเวลาคืนมา เอาแรงกาย
แรงปัญญา และทุนทรัพย์ที่ตัวเองมีคืนมา อย่าไปจับจ่ายกับสิ่งที่เป็น
อบายมุข ถอนตัวขึ้นมา เราก็จะเป็นคนที่ประกอบกิจการงานที่ดี
เมื่อความสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์เหล่านั้นลดลง รายได้ก็จะเพิ่มขึ้น
ก็ต้องหัดเผื่อแผ่เป็นการละโลภะหรือความโลภออกไปอีก เลื่อนขั้นเป็นพระสกิทาคามีต่อไป
เมื่อผู้ใดละอบายมุขได้แล้วก็เป็นพระโสดาบัน
ต่อมา ก็แจกจ่ายเกื้อหนุนจุนเจือผู้ที่ขาดแคลน หัดทำทาน หัดละ
ความโลภ ละความโกรธ ใครมาแย่งสิ่งที่เราหวงก็ไม่โกรธ หัด ละความโลภ
ความโกรธลงไปเรื่อยๆ เป็นพระสกิทาคามีจนกระทั่งคุณไม่หวงวัตถุ
ไม่หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็เป็นพระอนาคามี ยิ่งไม่หวงวัตถุ
ไม่หลงในกามคุณ ไม่หลงใน โลกธรรม คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็จะยิ่งไล่ระดับขึ้นมา
ถาม ที่ว่าให้รักมวลชน ถ้าให้เอื้อเฟื้อไปแล้ว
แต่ยังเห็นแก่ตัว ยังอยากได้ผลแห่งการลงทุนอยู่ การเอื้อเฟื้อนั้นก็ไม่บริสุทธิ์ใช่หรือไม่
ตอบ เอื้อเฟื้อไปแล้ว แต่ยังเห็นแก่ตัวอยู่
ยังต้องการ ผลตอบแทนอยู่ก็ยังไม่บริสุทธิ์แท้ ยังเป็นการหว่านพืชเพื่อหวังผลอยู่
มันยังเป็นการโลภอยู่ ยังไม่บริบูรณ์ในการให้
ดังนั้นถ้าจะให้ต้องเป็นการให้อย่างบริสุทธิ์ที่สุด
กายให้แล้วใจก็ต้องไม่เอาอะไรตอบแทนด้วย จึงจะบริสุทธิ์ที่สุด
ต้อง หัดให้อย่างจิตว่าง ให้ด้วยจิตไม่ต้องการอะไรตอบแทนจึงจะเป็นการให้ที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้งกาย-วาจา-ใจ
ถาม พระเจ้ามีจริงไหมคะ
ตอบ พระเจ้านั้นถ้าไปถามศาสนาที่นับถือพระเจ้า
ถ้าเป็นศาสนิกผู้ที่ยังเข้าใจศาสนาของตนอยู่แค่รูปแบบหรือรูปธรรม
ก็ จะบอกว่าพระเจ้านั้นมีจริง เป็นอะไรๆ อยู่ที่ไหน อยู่ทั่วไป
บอกอยู่อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถ้าหากเป็นศาสนิกที่เข้าใจพระเจ้าของ
ตนเองชัดเจน ก็จะอธิบายพระเจ้าของตนเองเป็นนามธรรม มีจริงแต่ไม่มีตัวตน
ไม่มีรูปร่าง เพราะพระเจ้าแทรกซ้อนอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างดังที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ต่างๆ
พระเจ้าแทรกอยู่ในทุกสรรพสิ่ง ไม่มีตัวตนเพราะเป็นนามธรรม
ผู้ที่เข้าใจพระเจ้าเขาจะอธิบายอย่างนี้ แล้วก็จริง
เพราะพระเจ้านั้นคือผู้สร้างหรือแรงงานที่ดี พระเจ้าอยู่ได้แม้แต่ใน
สายลม เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่คน พระเจ้าอยู่ในเสื้อผ้าให้คนใช้
พระเจ้าอยู่ในขนมปังให้คนกิน พระเจ้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าจะประทานคนผู้สมควรได้รับการประทาน
พระเจ้าเป็นแรงงาน เป็นผู้สร้างที่ช่วยเหลือปวงชนไถ่บาป ใครเดือดร้อนอะไรก็ช่วย
ใครเดือดร้อนขนมปังก็มีขนมปังให้ แต่ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าหยิบขนมปังให้
ไม่มี พระเจ้าจะไม่ประทานแก่ผู้ที่ไม่ช่วยเหลือตนเอง ผู้ที่ช่วยเหลือตนเองเท่านั้นพระเจ้าจึงช่วย
เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงคือ แรงงานนั่นเอง
ถ้าผู้ใดไม่มีแรงงานก็ไม่มีพระเจ้า ผู้ใดไม่มีผลผลิตก็ไม่มีพระเจ้า
เพราะพระเจ้าคือแรงงาน อันคือแรงกายและแรงปัญญาที่จะเป็นพลัง
ในการสร้างสรรค์จรรโลงโลก พระเจ้าคือผู้สร้างโลก ผู้ที่เข้าถึงพระเจ้าคือผู้ที่อุทิศแรงงานและมีผลผลิตให้กับมวลมนุษยชาติ
ส่วนผู้ที่ยังเห็นแก่ตัวและเอารัดเอาเปรียบอยู่นั้น ยังห่างไกลจากพระเจ้าเหลือเกิน
พระเจ้าไม่อาจสิงสถิตอยู่ในความเอารัด เอาเปรียบและเห็นแก่ตัวได้
ถาม ทำอย่างไรถึงจะให้พระสงฆ์ในศาสนาพุทธมีความรักแบบพระอรหันต์
เพราะปัจจุบันพระสงฆ์ส่วนมากไม่ได้เป็น เช่นนั้น ?
ตอบ ขอให้ติดตามดูอาตมา อาตมากำลังกระทำอยู่
ทำอย่างไรบอกไม่หมด อธิบายไม่ไหว กำลังทำอยู่ด้วยปัญญา ของอาตมา
คนอื่นก็มีส่วนที่กระทำอยู่เหมือนกัน พระบางองค์อย่างเช่น ท่านพุทธทาสก็กำลังทำ
พระ องค์อื่นๆ ที่กำลัง เผยแพร่ศาสนาท่านก็กำลังทำ เมื่อตนเองทำให้ตนเองได้มาก
แค่ไหน ท่านก็อาจให้คนอื่นทำได้มากขึ้นเท่าที่ท่านทำอยู่ ทำอย่างไรอธิบายไม่ได้หมด
เพราะมีรายละเอียดมากมาย
ถาม โยมเห็นว่า ความรักแบบความรักระหว่างเพศก็ดี
เพื่อที่จะไม่ทำให้มนุษย์สูญพันธุ์ไป ถ้าเรามีการควบคุมและทำให้คนมีคุณภาพ
ก็จะเป็นการดี ถ้าไม่มีคนแล้ว พระพุทธเจ้าจะไปสอนใคร
ตอบ พระพุทธเจ้าเก่งกว่าอาตมา สอนในระบบเดียวกันคือให้คุมกำเนิดด้วยการคุมกำหนัด
คือละความกำหนัด พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คุมกำเนิดด้วยการใช้วัตถุ
ใช้อะไรๆ ที่ เป็นการแก้ที่ปลายเหตุอย่างนั้นนะ พระพุทธเจ้าเป็นนักคุมกำเนิดชั้นยอด
สอนมาก่อน ตัวท่านเองทำสำเร็จแล้วก็สอนพระสาวกต่างๆ คุมกำเนิดมาเรื่อย
เพราะท่านรู้ว่าพลโลกจะล้นโลก แต่ท่านไม่สอนการคุมกำเนิดอย่างตื้นเขินเช่นนั้น
ท่านสอนให้คุมกำหนัด
เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดได้เห็นจริงว่าพลโลกกำลังจะล้นโลกแล้ว
ผู้นั้นก็จะทำตามโดยการคุมกำหนัด และถ้าเผื่อว่า เห็นว่า การสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีกเป็นการดี
คนนั้นก็แย้งกับโลกแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นไปแย้งกับพระ เพราะโลกเดี๋ยวนี้ต้องการลดพลเมือง
คุณบอกว่าคนจะสูญพันธุ์ พระพุทธเจ้า เก่งกว่าอาตมา ยังทำให้คนสูญพันธุ์ไม่ได้เลย
ท่านสอนเก่งกว่าอาตมาที่ทำให้คนลดกามลงมานี่ บอกว่าอย่าไปสืบพันธุ์กัน
น้อย...น้อยนักจะเป็นได้ ยากต่อยากนัก
ดังนั้นอย่ากลัวเลย เป็นไปไม่ได้ที่โลกจะสูญพันธุ์
เป็นไปไม่ได้เลย จะได้เพียงบางคนเท่านั้นที่จะช่วยโลกไว้ให้โลกนี้แตกช้าหน่อย
หรือให้โลกนี้มีกลียุคน้อยลงหน่อย หรือช้าลงหน่อย จะได้ช่วยดึงไว้ไม่ให้พลโลกนี้ล้นโลกเร็วเกินไปเท่านั้นเอง
จะให้โลกสูญพันธุ์นั้นทำไม่ได้ ต่อให้พระพุทธเจ้า หรือเก่งกว่าพระพุทธเจ้า
อีกร้อยเท่าก็ยังทำไม่ได้ คุณคนหนึ่งจะทำได้ไหม สัญญากับอาตมาก่อนที่จะไม่ให้เกิดพลโลก
ไม่ต้องไปถามคนอื่น คนอื่นน่ะยังจะ ไม่ได้ หลายคนไม่ได้หรอก
คุณได้หรือยัง...(มีคำตอบว่า ยัง) แค่นี้ก็ตอบว่าไม่ได้แล้ว
ป่วยการจะไปถามคนอื่นทำไมกัน ฉะนั้นอย่ากลัวคนสูญพันธุ์
ถาม ถ้าตามที่ท่านพูดมาว่า ความรักระหว่างเพศนั้น
ขาดทุนอย่างมหาศาล ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ก็จะไม่มีการแพร่พันธุ์
น่ะซี จริงไหม ถ้าโลกนี้ชายหญิงไม่มีความรักต่อกันแล้วมันไม่ผิดธรรมชาติหรือ
ผลสุดท้ายก็จะไม่เหลือมนุษย์อีกเลย
ตอบ นี่ มาแนวเดียวกับข้อเมื่อกี้นี้
อาตมาก็จะอธิบาย แต่เฉพาะแง่ที่ไม่เหมือนกัน คุณคนนี้ห่วงโลกจะสูญพันธุ์
ก็ไม่ต้องห่วงอย่างที่ว่ามาแล้วนี่ ทีนี้บอกว่า ถ้าชายหญิงไม่มีความรักต่อกันแล้วมันไม่ผิดหรือฝืนธรรมชาติหรือ
อาตมาขอบอกว่า ธรรมชาตินั้นคือกิเลสมันค่อยๆ สร้างกันขึ้นมาแล้วก็นึกว่าคนเราจะต้องมีธรรมชาติ
ก็จะต้องมีกิเลส ธรรมะ ไม่มีชาติ ชาติ คือการเกิด ชาติ ปิ
ทุกขา มีตัว ชาติ ตัวไหน เกิดทุกข์ทั้งนั้น ธรรมะของ พระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่ธรรมชาติ
ธรรมะคือธรรมจริงๆ
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้นคือ ความเหนือธรรมชาติ
มีแต่ธรรมล้วนๆ ไม่มีชาติ ไม่มีความรัก คุณพูดว่าความรักเป็นธรรมชาติ
ถูกแล้ว ! อาตมาเห็นด้วยและเป็นธรรมชาติที่ได้หลงสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ
จนไปหลง โอ้โฮ...ใหญ่ ! ความรัก ฆ่ากันตาย ! ถือความรักเป็นสุดยอด
ใครขวาง ใครค้าน ไม่เอาแล้ว ใครจะห้ามอะไรก็ยิงฆ่ากันตาย หนีโลกไปเลยก็ได้
แหม มันยิ่งใหญ่ถึงปานนั้น ทั้งๆ ที่เกิดเป็นคนมาแล้วแท้ๆ จะทำงานให้แก่โลก
เป็นประโยชน์ให้กับโลก กับปวงชนได้อีกตั้งเยอะแยะมากมาย
ดังนั้นในเรื่องของความรักที่บอกว่า ความรักแบบ
ชายหญิงนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติ คุณก็สร้างกันต่อไปถ้าคุณ
ต้องการให้มันมีในโลก แต่ถ้าใครเห็นว่าไม่ควรสร้างต่อไปหรอก
คุณก็จงสร้างแต่ความดีเถิด เป็นผู้ชายก็ทำงานสร้างผลผลิตที่ดีมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
เป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ไปเก่งแต่การสร้าง
ความรักหรือไปสร้างแต่การแต่งตัว ไม่เอา จงสร้างผลงาน มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล
รู้จักหน้าที่เบญจกัลยาณีให้ดี ไม่ต้องกลัว คนดีจะเจอคนดีกันเอง
ถ้าคุณเอาแต่แต่งตัว ผู้ชายที่รักรูปก็จะไปหลงรูป เออ...ไอ้นี่รูปสวย
คนนี้ก็แต่งงานกับรูปสวย แต่คนไหนที่รู้ในเนื้อหาสาระแท้ๆ คนนี้มีคุณงามความดี
แม้ไม่ต้องแต่งตัวเลย ผู้ที่รู้เนื้อแท้ของเบญจกัลยาณีก็จะได้แต่งงาน
กับเบญจกัลยาณี
เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงมัวเมาอยู่กับการแต่งตัว
อย่าไปมัวเมาอยู่ในเรื่องความรักอยู่เลย ไม่ต้องกลัวหรอกน่ะ
ถ้าเผื่อว่า มันอดไม่ได้ในเรื่องกิเลสทางกามารมณ์จะต้องแต่งงานอยู่
ก็แต่งไปเถิด เมื่อถึงวาระที่คุณจะต้องแต่งแล้ว คุณจะได้คู่ครองที่มี
คุณงามความดี มีเนื้อหาสาระแท้ๆ ไม่หลงติดอยู่แต่เพียงเปลือกนอก
รูปสวยรูปงาม เพราะเขามีปัญญาที่เข้าใจเนื้อหาสาระหรือคุณงามความดีที่แท้จริง
แล้วต่างคนก็ต่างเห็นซึ่งกันและกันใน
คุณงามความดีนั้น
ถาม ความรักระหว่างเพศไม่มีราคา ฉะนั้น
แสดงว่า ในวัยนี้ก็ไม่ควรมีความรักเลยใช่ไหมคะ
ตอบ ไม่ว่าในวัยไหนก็ไม่ควรจะมีความรักระหว่างเพศนี้
เพราะมันแสนจะคับแคบ ไร้ค่า และสิ้นเปลืองอย่างที่ได้ อธิบายมาแล้วในมิติที่
๑ มันเป็นเพียง เครื่องตกแต่งหรือ เครื่องลดให้เร่งสัญชาตญาณดั้งเดิมแห่งการสมสู่ของสัตว์ที่พอกพูนสั่งสมมานาน
จนมีอิทธิพลแผ่ขยายครอบครองโลกอยู่
จนทุกวันนี้ ฉะนั้นถ้าไม่มีเสียได้เลยตลอดไปก็จะประเสริฐอย่างยิ่ง
และยังเป็นการช่วยโลกลดเศรษฐกิจเฟ้อส่วนนี้โดยตรง ทั้งจะช่วยเศรษฐกิจแห่งโลก
โดยไม่เพิ่มจำนวนประชากรที่กำลังจะล้น อีกด้วย ทันสมัยที่สุดด้วย
ถาม จะมีไหมที่ความรักระหว่างเพศเป็นแรงใจที่จะช่วยกันสร้างสรรค์สังคมให้ดี
?
ตอบ ก็ยังพอมีหรอก แต่มันก็เป็นไปเพื่อความเห็นแก่ตัวนั่นแหละเป็นส่วนใหญ่
เหลือเพียงเศษส่วน เศษปัดให้เขา เอ้า..คิดดีๆ ได้มามีเงินทอง
มีอะไรต่ออะไรก็เอาไปเสพสุข เธอไปฮันนีมูนที่นั่นกันเถอะ เดี๋ยวเราไปเที่ยวรอบโลกกันเถอะ
แล้วก็เราอะไรๆ ก็ไม่รู้ล่ะ เออ แล้วค่อยแบ่งเศษให้แก่โลกเขา
คิดดู...
จะเห็นจริงตามอาตมาหรือไม่ก็ฟังเอา ใช่ไหม ส่วนใหญ่ก็อย่างนั้นแหละ
ปัดเศษให้เขาก็มีอยู่บ้างหรอก อาตมาถึงใช้คำว่า มีอยู่บ้างหรอก
ไม่ใช่ว่าไม่มีเสียเลย
ถาม คนที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาก
แน่นอนหรือที่จะไม่หวังสิ่งตอบแทน
ตอบ นี่เรียกว่า ยังมีความหวังอยู่
ถ้าคนที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาก อาตมาก็ขอตอบด้วยว่า มีสิ่งที่จะตอบแทน
ยิ่งให้ไปยิ่งได้มา ยิ่งไม่อยากได้ คนยิ่งอยากให้ คนใดยิ่ง
อยากได้ เขายิ่งไม่อยากให้ เอ้า จริงๆ คุณลองหัดสังเกตดูให้ดีก็จะเห็นได้
อาตมาจะยกตัวอย่างเทียบเคียงให้คุณเห็นก็ได้
เช่น ถ้าคุณออกกำลังกาย คุณยิ่งจ่ายกำลังออกไป คุณก็จะได้กำลังกายเพิ่มขึ้น
ร่างกายของคุณจะแข็งแรงขึ้น ก็เช่นเดียวกัน คุณ มีเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ก็ย่อมจะได้รับความเมตตาตอบสนอง เป็นเมตตาธรรมที่เกิดในตัวคุณอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้นคนยิ่งเผื่อแผ่มากยิ่งจะได้มากจริงๆ
ให้หัดทำเถิด แน่นอนหรือที่จะมีหวังสิ่งตอบแทน เอาเถอะ คุณ จะมีหวังหรือไม่มีหวัง
อาตมาตอบแล้ว แต่จะให้ดี ที่สุดก็อย่า หวังเลย ให้ไปเถอะ
คุณยิ่ง ให้ ด้วยบริสุทธิ์ใจเท่าใด ยิ่งไม่หวัง สิ่งตอบแทน
คุณยิ่งจะได้มาอย่างมากมหาศาลเกินเชื่อ
ถาม ที่ท่านกล่าวว่า ความรักระหว่างเพศนั้น
ถ้าใครมีแล้วเป็นการสิ้นเปลืองมหาศาล แล้วทำให้คนเห็นแก่ตัวจัด
ถ้าเช่นนั้น การที่พวกผมเกิดมาจาก ความรักระหว่างพ่อและแม่นั้น
พ่อและแม่ของพวกผมเป็นคนเห็นแก่ตัวใช่ไหม ทั้งๆ ที่ท่านส่งพวกผมเล่าเรียนครู
เพื่อให้พวกผม ไปช่วยเพื่อนมนุษย์ ที่อยู่ห่างไกลให้ได้รับความรู้
หลุดพ้นจากความมืด ซึ่งพวกกระผมทำเพราะมีอุดมการณ์ ความศรัทธา
และความบริสุทธิ์ใจที่จะบำเพ็ญประโยชน์เพื่อเพื่อนมนุษย์
ตอบ ถูกแล้ว เริ่มต้นด้วยความเปลือง
ทีนี้ส่วนคุณจะคิดดีนั้น อนุโมทนาสาธุ และถ้าคุณจะไม่มีความรักเลยด้วย
ไม่มีความสิ้นเปลืองด้วย ก็จะยิ่งเสียสละได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
สาธุ ยิ่งดีใหญ่ แต่ถ้าคุณยังมีความรักอยู่น่ะ เปลือง เดี๋ยวเทียวไป
เทียวมา ถ้ายิ่งคู่รักอยู่คนละจังหวัดด้วยแล้ว ยิ่งเปลืองใหญ่เลย
ฉะนั้นอยู่ตัวคนเดียวเดี่ยวๆ โดดๆ จะเสียสละยังไงก็เชิญเลย ยิ่งคุณมีอุดมการณ์ที่ดี
จะเสียสละ อนุโมทนาสาธุด้วยจริงๆ ขอให้เป็นดังที่คุณตั้งใจเถิด
จับประเด็นให้ดีนะว่า ระดับก่อน พ่อแม่ได้เปลืองมาอย่างนี้จริง
แล้วคุณก็อย่าไปเปลืองตามสิ ตอนนี้ คุณมาทำสิ่งที่ดีสิ ได้รับบทเรียนที่เห็นได้จากพ่อแม่แล้วยังจะมัวไปเปลืองทำไม
คุณมีอุดมการณ์ มีศรัทธา มีความบริสุทธิ์ใจ นั่นดียิ่งแล้ว ขอให้คุณจงยืนหยัดกระทำไปให้ได้เถิด
คุณจะทำตามอุดมการณ์ได้ดี จะทำได้อิสระที่สุด มีผลมากที่สุด
ถ้าคุณ ไม่มีความรักเข้ายุ่งด้วย ขอให้คุณตลอดรอดฝั่งไปด้วยดี
ดั่งที่ตั้งอุดมการณ์นั้นเถิด และไม่ต้องกลัวด้วยว่าจะไม่มีคนเกิดมาช่วยโลกอีก
|