ความรัก มิติที่: 1กามนิยม  2พันธุนิยม  3ญาตินิยม  4ชุมชนนิยม  5ชาตินิยม  6สากลนิยม  7เทวนิยม  8อเทวนิยม  9นิพพานนิยม  10พุทธภูมินิยม
   [เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 8/16
Colse

สารบัญ
[1] รักมิติที่1
[2] รักมิติที่2
[3]
รักมิติที่3
[4]
รักมิติที่4
[5]
รักมิติที่5
[6]
รักมิติที่6
[7]
รักมิติที่7
[8] รักมิติที่8
[9]
รักมิติที่9
[10]
รักมิติที่10
[11]
ถาม-ตอบ
[12]
ถาม-ตอบ
[13]
ถาม-ตอบ
[14]
ถาม-ตอบ
[15]
ถาม-ตอบ
[16]
ถาม-ตอบ

ความรัก ๑๐ มิติ โดย พระโพธิรักษ์

มิติที่ ๘

เป็นความรักในมิติที่ตัดรอบออกมาอีกชั้นหนึ่งแล้ว เป็นความรักอย่าง “อนัตตา” ไม่มีตัวตน เริ่มต้นที่จะละ “อัตตา” ใน

มิติที่ ๘ นี้คือ ความรักที่กำลังพยายามเลิกความรัก เพราะเริ่มรู้ว่าความรักเป็นทุกข์จึงจะปลดเปลื้องความรักออกไป ก็คือศาสนาที่สอนอนัตตา สอนให้รู้ว่ามีความรักทางเพศนี้เลวชั้นหนึ่งนะ เลิกให้ได้เพราะเห็นแก่ตัวจัด อย่าไปมี

ดังนั้นศาสนาพุทธจึงสอนให้ลดเรื่องเพศลงหรือเลิกเสีย พอมาเป็นสาวกห้ามเด็ดขาดเลย อย่าถึงขั้นเป็นพระเลย แค่ถือศีล ๘ ก็ห้ามแล้วเรื่องเพศ เรื่องเมถุน เรื่องผู้หญิง-ผู้ชาย ห้ามแล้ว เพราะมันเป็น “ทุกข์” และเป็นความรักที่เลวที่สุดด้วย อย่าไปมีเลยอย่างนี้ จะเห็นสภาพถ่ายถอนหรือกลับกันแล้ว มิติที่ ๘ เป็น ความรัก ที่กำลัง จะเลิกความรัก ล้างความรักแล้ว ถ้าหากผู้ใดทำได้ ผู้นั้นก็พ้นทุกข์ออกจริงๆ เพราะความรักมันเป็นความทุกข์

ผู้ใดลดความรักระหว่างเพศได้ หวาน ! เบ๊า...เบา ! เบาจริงๆ

ถ้าคนไหนยังมี ยิ่งคนไหนที่พอกไปด้วยอารมณ์ ถ้ามีตาชั่งจะมีน้ำหนักบานเลย หนักชีวิต หนักหัว หนักใจ หนักทุกอย่างเลย ยิ่งรักมากยิ่งหนักมาก ไม่อยากให้ห่างกาย ห่างตัวไปเลย อยากจะกลืนเจ้าไว้ในอกโน่นแน่ะ! ห่างอกก็ไม่ได้ พรากสายตาก็ไม่ได้ แหม...มันหนักเหลือเกิน แทบจะอุ้มกันไว้ทั้งตัว และมันหนักจริงๆ ด้วยนะ ! ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดตัดเรื่องความรักระหว่างเพศได้แล้ว เบา ! สบายมาก ไม่ต้องกังวลเลยจริงๆ สบาย ตัดรอบไปได้ เพราะมันเป็นความรักที่เลวที่สุด ต่ำที่สุด ขอให้รู้ ขอให้คิด ให้เห็น อย่าเพิ่งเชื่ออาตมานัก พระพุทธเจ้าให้เกียรติแก่คนทุกคน หรืออาตมาด้วย ให้เกียรติแก่คนทุกคน ไม่ใช่พูดให้คุณเชื่อ แต่พูดให้คุณเข้าใจสิ่งที่อาตมารู้ หรือพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสในสิ่งที่ท่านรู้ว่าเป็นสัจจะ ขอให้ทุกคนเอาไปวิเคราะห์ ไปคิดตรึกตรอง ไปใคร่ครวญเอาเอง เมื่อเราเชื่อ เราเห็นจริง เราก็เชื่อด้วยตัวของเราเอง เราไม่ได้เชื่อใคร

การเรียนรู้เช่นนี้เป็นการเรียนรู้อย่างใช้ “ปัญญา” นำทาง ใช้การวิเคราะห์ แล้วพิสูจน์อีกทีให้แจ้งประจักษ์ผล มีสภาวะแท้จริง ที่ตนรู้อยู่ เห็นอยู่ สัมผัสอยู่ จึงเป็น “สัจนิยม”

ความรักในมิติที่ ๘ นี้เป็นความรักที่กำลังลดความรัก เมื่อผู้ใดไม่ไปรักเรื่องเพศ ก็จะเอาพลังงานในเรื่องนี้ไปทำงาน ทางอื่น ไม่ต้องเทียวไล้เทียวขื่อ ลงทุนซื้อเสื้อผ้าแต่งตัว ทำโน่น ทำนี่ ดังกล่าวมาแล้ว จับจ่ายอะไรก็ไม่อีกแล้ว ถ้าผู้ใดไม่รัก ทางนี้ก็เอาทุนที่ต้องจับจ่ายมาเผื่อแผ่กับผู้อื่นก็ได้ ในการลงทุนนี้ทั้งเวลาก็เอามาใช้ประโยชน์กับผู้อื่นได้เหมือนกัน

พระเสขบุคคลหรือผู้กำลังปฏิบัติธรรมอยู่ในสายของศาสนาที่เป็น “อนัตตา” คือผู้ที่กำลังมีความรักชนิดที่อยู่ในระดับมิติที่ ๘ กำลังล้างความรักระหว่างเพศ เมื่อไม่มีความรักระหว่างเพศก็ไม่ต้องมีลูก ไม่มีแล้วลูก เพราะมันเป็นการเห็นแก่ตัวที่เพิ่มขึ้น และเป็นภาระหนักขึ้น ถ้าไม่มีลูกก็ไม่ต้องจับจ่ายเพิ่มมาก ขึ้นอีก ก็เอาลาภหรือผลพลอยได้ หรือสิ่งที่เรามี ทั้งกำลังกายและกำลังใจ อะไรๆ ของเราก็ตามแต่ มาเผื่อแผ่ให้กับผู้อื่นได้มาก ขึ้นอีก เพราะปลอดจากภาระในด้านครอบครัว นี่อาตมากำลังอธิบายซ้อนแล้วนะ ! มีสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนไปหาอันเก่า แล้วนะ !

เพราะฉะนั้นผู้ใดเลิกได้แม้ตัดญาติปริวัฏฏัง ภาษาบาลีว่า ญาติปริวัฏฏัง ปหาย คือ อย่าไปมีแวดวงความรักอยู่แค่หมู่ญาติพี่น้อง ทำลายแวดวงอันนี้ออก แล้วเราก็จะเป็นคนมีประโยชน์ เพิ่มขึ้น อย่าเห็นแก่แค่หมู่ญาติในแวดวงแคบๆ จงเห็นแก่ ความเป็นสัตว์โลกผู้ร่วมทุกข์ดีกว่า ถ้าเห็นแก่แค่หมู่ญาติก็ยังคับแคบ ดังนั้น ถ้าหากว่าหมู่ญาติคนไหนเดือดร้อนน้อยกว่า เพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านเดือดร้อนมากกว่า ก็จงช่วยเพื่อนบ้านก่อน ไม่ใช่ว่าญาติเราเดือดร้อนนิดเดียว แต่เพื่อนบ้านเราเดือดร้อน ตั้งมาก ก็ไปช่วยญาติเราก่อน ไม่ใช่อย่างนั้น

ด้วยดังนั้น คนที่กำลังเรียนรู้อย่างนี้จึงเป็นผู้ที่กำลังเข้าใจถึงตัวประเด็นที่แท้ ความทุกข์ของผู้ใดมาก จะโดยองค์ประกอบหรือโดยเหตุปัจจัย ควรช่วยคนไหนมากกว่า ไม่ตีค่าว่าเป็น ญาติเรา แต่ตีค่าว่าเป็นสัตว์โลกเท่ากัน การตัดรอบของ ความเห็นแก่ตัวแค่วงศาคณาญาตินี้ก็จะลดลงจริงๆ ทำญาติ ปริวัฏฏัง ปหาย คือไม่เห็นแก่แวดวงรอบสั้นๆ แต่ “ญาติ ปริวัฏฏัง ปหาย” นี้หมายความว่า ทำลายความเห็นแก่วงญาติ เท่านั้นเอง เลิกลำเอียงไม่เห็นแก่ญาติ ผู้ใดทำได้ก็ยิ่งดีใหญ่ เอาประเด็นความทุกข์ยากเป็นหลัก

ดังเช่นพระเสขบุคคลที่กำลังปฏิบัติธรรมอยู่ยังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์ เป็นผู้ปฏิบัติ หรือเป็นผู้ที่เรียกว่า พระอริยบุคคลขั้นต้นคือพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี เป็นพระอริยะแล้ว ตัดกิเลสทางเรื่องเพศ ตัดกิเลสเรื่องเกี่ยวกับลูกๆ เต้าๆ ตัดกิเลสทางเรื่องญาติโกโยติกา ผู้นี้ก็เป็นผู้ที่สูงขึ้น ถ้าตัดได้จริง ในจิตใจ ไม่มีความรักแบบนี้ แต่ยังมีความรักอยู่เหมือนกัน ยังมีความรักอยู่ในจิตเหมือนกัน ที่ยังเป็น “ความหลง” อันละเอียด สูงขึ้น เพราะความไม่รู้ว่าไปรักทำไม ไม่ต้องมีรักก็ได้ แต่ไม่ “รู้”หรือยัง “รู้” ไม่ถึงขั้นสุดบริบูรณ์

ผู้ที่กำลังศึกษาปฏิบัติอยู่เรียกว่า “เสขบุคคล” คือผู้ที่จะทำตนให้เรียนรู้โลก เรียนรู้ความจริงว่า คนเรามีมนุษยสัมพันธ์อย่างไร เราจะทำตัวให้เป็นผู้ที่มีความสามารถมาก มีสมรรถภาพสูง ทำอย่างไร กำลังเรียนอยู่ ศาสนาพุทธจึงสอนเป็นหลักเกณฑ์สำหรับผู้ที่จะทำตนให้มีสมรรถภาพมาก อย่าไปวุ่นเรื่องความรักแบบต่ำในระดับมิติที่ ๑-๒-๓ และจงทำตนเองด้วย ตรวจ ตนเองด้วยว่า ตนเองไปเปลืองเพราะเรื่องที่ไปเกี่ยวอย่างนี้อะไร อีกบ้าง คือ ไปติดอบายมุขต่างๆ ซึ่งมันทำให้เราเผาผลาญ สูญเสีย สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ก็จะต้องเลิกมาด้วย เมื่อเลิกมาได้แล้ว เราก็จะมีเวลาเหลือ ไม่เอาเวลาไปเสียในทางการละเล่นต่างๆ ทางติดสิ่งเสพย์ติด ตัดเรื่องความรักทางเพศได้ก็ยิ่งดีใหญ่ เรื่อง ละเม็งละคร การละเล่น แม้แต่เกมที่ไม่เข้าท่า ก็ไม่ไปเอาใจใส่วุ่นวาย เรื่องหนัง เรื่องละคร เรื่องเพลงการ เรื่องอะไรที่มันไม่ได้เรื่องได้ราว เดี๋ยวนี้ก็ยังมีเพลงเพื่อชีวิตขึ้นมาหน่อย แต่ก่อนนี้มีแต่เพลงหูแตก ลำโพงอันเท่าน้าน ! ร้องกันไปเถอะสุดเสียงสังข์
ไมโครโฟนก็จะต้องมีกันคนละอัน ตะโกนพร้อมกันเข้าไป ตีกันเข้าไปเถิด ถ้ามาตีกันที่นี่ละคุณเอ๋ย ห้องประชุมนี้ อาตมาว่าขี้หูหลุดกันเชียวแหละ คนพวกนี้ละหูตึงก่อนอายุ พวกที่หลง เสียงเพลงพวกนี้ เพราะอาตมาขนานนามว่าเพลงหูแตก หูแตกจริงๆ

เดี๋ยวนี้ค่อยยังชั่ว มีเพลงเพื่อชีวิต มีสารัตถะขึ้นมา นิดหนึ่ง ร้องกันพอรู้ว่าชักชวนกันยังไง แล้วก็ร้องกันหงุงหงิงๆ ๆ ไม่ค่อยเห็นตะโกนหูแตกกันอย่างเหมือนเมื่อแต่ก่อนนี้ อย่างเช่น พิงค์ฟรอยด์ ที่หน้าปกหนังสือ “ผ่าตัดพุทธศาสนา” อาตมา เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เอาใจใส่แล้ว แต่ก่อนนี้อาตมาก็เอาใจใส่มาก เรื่องเพลง เรื่องดนตรีการ นี่นะ ! อาตมา ตัดเรื่องดนตรีการ กิเลสพวกนี้ได้เป็นสิ่งสุดท้าย เรื่องเพลงการ เรื่องเสียงนี้ตัดเป็นอันดับสุดท้ายเลย สำหรับ “กามตัณหา” เพราะว่ามันชอบ มันหลง แต่ก่อนนี้มันไม่รู้ มันก็หลงๆๆ เพลงการอะไรต่ออะไรมากมาย เดี๋ยวนี้สบายแล้ว ไม่ต้องไปหลงแล้ว ไม่ได้หลงเป็นสิ่งเสพย์สิ่งติดอะไรแล้ว เป็นแต่เพียงเห็นความหลงของมนุษย์ผู้ที่ยังหลงอยู่

เอ้า ! ทีนี้หวนกลับมาถึงว่า พอผู้ใดตัดกิเลสที่เป็นอบายมุขได้ ไม่ติดแม้กระทั่งละเม็งละคร ไม่ติดแม้กระทั่งดนตรีการ หนังแหน็งอะไรพวกนี้ การละเล่นก็ไม่ติดด้วย การละเล่นเดี๋ยวนี้ก็เปลืองมาก และก็ผลาญพร่ามาก โดยเฉพาะเกมกีฬานี้ ที่จริงเป็นการงานชนิดหนึ่งที่เผาผลาญพลังงานเราลงเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นถ้าใครฉลาดจะลดพลังงานหรือจ่ายพลังงานออก เพราะถ้าพลังงานมันมาก มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน จะต้อง ไปหาทางจ่าย ไม่งั้นเดี๋ยวกามารมณ์จัด จึงต้องไปออกกำลังกายเล่นเกมบ้าง คือพยายามทำลายพลังงานออกจากตัวบ้าง ก็เลยไปหาเรื่องเล่น เป็นเกม เป็นกีฬาอะไรต่อมิอะไรกัน แต่กีฬาทุกวันนี้ไม่มีผลพลอยได้ที่คุ้มกันเอาจริงๆ อย่างคุณไปเตะลูกฟุตบอลนี้ แหม...โกรธมันจริ๊ง เตะตูมๆ ๆ เตะจริงเลย ประเดี๋ยวก็แตก ไปเตะมันทำไม โกรธมันตั้งแต่ปางไหนนะ วิ่งซอกๆๆ ไล่เตะกัน เสียค่าใช้จ่าย เสียสนาม ให้เขาปลูกผักกันเสียยังดีกว่าเอาไปทำสนามไว้อย่างนั้นน่ะ

คุณอยากออกกำลัง อยากจ่ายพลังงาน...ไม่ว่า เพราะว่าถ้ามันมีมากก็จะยุ่ง หาปี๊บเตะกันไม่ทัน จึงไม่ว่า จะลดพลังงานก็ไม่ว่า แต่คุณควรฉลาดว่า การจ่ายพลังงานออกแล้ว ควรมีผลพลอยได้จากการจ่ายพลังงานนั้น ไม่ใช่ว่าจ่ายออก ไปแล้วสูญเปล่า หอบแฮ่กๆๆ ! มันส์ ! อยู่ไหน ไม่มีอะไร ! ได้อะไร ! เตะมันส์อย่างเดียว ไม่มีอะไรเลย มันส์นั่นน่ะอยู่ไหน ลองใส่ปี๊บมาดูซิ

แท้จริงแล้วมันเป็นสุขัลลิกะเหมือนกันกับความรัก นั่นแหละ มันเป็นอุปาทานชนิดหนึ่ง ไม่มีตัวตน แต่ว่ามันส์อะไรก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้ก็เพิ่มองค์ประกอบเข้าไปอีกว่า “เก่ง” มีเกียรติที่ เตะเก่ง โก้-โด่งดัง-เด่น ยังไม่หยุดเท่านั้น ทุกวันนี้มีเงินล่อหลอกกันเข้าไปอีกแล้ว คนก็ยิ่งงมงายกันใหญ่

ดังนั้น ถ้าผู้ใดยังไปหลงมันมากก็จ่ายพลังฟรี ทั้งที่ อุตส่าห์ แหม...วันนี้กินไข่ ๓ ฟอง หรือกินโปรตีนจากเนื้อสัน หนึ่งก้อน หรือจะเล่นแบบฝรั่งหน่อย เล่นสโต๊กสเต๊กอะไรก็เถอะ เสร็จแล้วก็ไปจ่ายมันออก โดยที่เรียกว่าเพื่อแลกกับความมันส์ซึ่งใส่ปี๊บมาดูก็ไม่ได้ ลอยลมอยู่ไหนก็ไม่รู้ จ่ายไปไม่มีผลพลอยได้
ที่คุ้มกันจริงๆ

ถ้าหากว่าคุณอยากออกกำลังกาย ก็จับเสียม จับจอบ ขึ้น ที่ดินไหนมีพอเล็กน้อย แม้แต่เล็กน้อยก็ยังพอทำได้ ขุดเข้ารับรองว่าคุณได้จ่ายพลังงาน เอาผักมาปลูก ตักน้ำมารด เหงื่อแตกแล้วมันส์ด้วย แหม...สนุกจัง ! โอ้โฮ ! ปลูกผักชนิดนี้ ยี่ห้อนี้ ผักกาด ผักคะน้า ผักชี ผักอะไรต่ออะไรอีกมากมาย พอรดน้ำ วันแล้ววันเล่า รดได้ทุกวันด้วย ได้ออกกำลังกายทุกวันด้วย แล้วก็ได้ดูผลงาน แหม !..ชื่นใจ ออกแล้ว หน่อขึ้นมาแล้ว ผลิใบแล้ว ได้เฝ้าดูการเจริญเติบโตของมัน และยังได้กินมัน เข้าไปด้วย เป็นสภาพที่เรียกว่าได้ประโยชน์จริงๆ นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ หรือคุณไม่ทำงานอย่างนี้ ก็มีอีกร้อยแปดอย่างให้คุณทำ โน่น...ไปพัฒนาคูคลองที่ไหน สนามที่ไหน หรืออะไรต่ออะไรก็ได้ ได้ออกกำลังกายมากกว่าที่จะไปวิ่งไล่เตะลูกฟุตบอลอยู่ในสนาม วัดสนามอยู่นั่นแหละ วัดมันไม่รู้กี่ที แล้วก็ไม่รู้จักจำเสียที จำไม่ได้ ต้องวิ่งวัดมันอยู่นั่นละ ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ

ถ้าหากว่าคุณต้องการออกกำลังกาย ทางออกกำลังกายของคนฉลาด ออกแล้วต้องมีผลพลอยได้ ไม่ใช่ออกกำลังกายฟรีๆ หรือมิหนำซ้ำ ต้องจับจ่ายขาดทุนต่อสภาพการออกกำลังกายนั้นๆ เอาด้วย การละเล่นจึงเป็นการหลอกให้เราออกกำลังกายฟรีเป็นประเด็นใหญ่ ถ้า “การละเล่น” (อันไม่ใช่ “การจริง” ไม่ใช่ “ความจริง”) กลางแจ้ง หรือการละเล่น ที่ออกกำลัง ถ้าการละเล่นในร่มน่ะ อย่าพูดกันเลย นั่นยิ่งเลว ไม่ได้เข้าท่าเลย จะบอกว่า เพื่อการออกกำลังกาย ก็ไม่ใช่ จะว่าฝึกสมองคุณก็มาฝึกสมองวิเคราะห์สิ่งที่ดีซิ ไอ้นี่ดี ไอ้นี่ชั่ว เยอะแยะไป ดีกว่าไปนั่งคิดเลข แหม ! สเปโตตัวนี้ ๕๐ แต้ม จั่วขึ้นมา ซะแล้ว เกมการพนัน อย่างนี้น่ะ ไปฝึกมันทำไม คุณมีทางที่จะใช้ปัญญา ใช้สมองวิเคราะห์ได้มากมาย ไม่จำเป็นจะต้องไปฝึกแค่นั้นเลย ฝึกอย่างอื่นได้เยอะแยะไป คิดอะไรก็ได้ วิเคราะห์อะไร ก็ได้ เชิงคณิตศาสตร์ก็มี เชิงวิทยาศาสตร์ก็ได้ หรือเชิงอะไรต่อมิอะไร ศาสตร์เยอะแยะไป ที่จะวิเคราะห์ ให้เกิดประโยชน์ขึ้นได้

เพราะฉะนั้น ใครจะออกกำลังกาย จงพยายามให้มีผลพลอยได้ อย่าออกกำลังกายสูญเปล่า นี่อาตมากำลังจะต่อต้านเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เรื่องของธุรกิจบันเทิง เรื่องของดารา เรื่องของหนังละคร เรื่องของดนตรีการ กับเรื่องของการละเล่นกำลังผงาดที่สุด กำลังครองโลก เป็นยุคของสิ่งอบายมุขอย่างนี้

พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะว่า มหรสพ การละเล่น หรือ เกมต่างๆ นี้เป็นอบายมุข ท่านไม่ได้ละเว้นนะ ท่านไม่ได้พูดปดด้วย ท่านกล่าวโดยธรรม เป็นอบายมุข เป็นทางแห่งความ ฉิบหาย เดี๋ยวนี้กำลังใหญ่ผงาด ซึ่งคนก็ไปหลงจมหูจมหัวอยู่ กับมัน เพราะยังไม่รู้ว่าเป็นความสูญเสีย ที่จริงไอ้ละเม็งละครการละเล่น อะไรพวกนี้น่ะ เต้นรำหรือทำท่าแอ๊คอาร์ตอะไรพวกนี้ เป็นเรื่องของกามคุณ ๕ ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย แล้วก็จะเสพย์อารมณ์เป็นงานของหญิงคณิกา หรือเกอิชา สมัยโบราณจริงๆ ผู้หญิง
ที่ทำหน้าที่บำรุงบำเรอ หรือปรนเปรอความสุขในทางกามารมณ์ หรือกามคุณนี้ ในสมัยโบราณนั้นเขาเรียกว่าหญิง “คณิกา” สมัยนี้เรียกว่าหญิงโสเภณี หรือ เกอิชา ก็เหมือนกัน

พวกนี้จะมีอาชีพอะไร มีอาชีพทางฟ้อนรำ ทำท่าอย่างโน้นอย่างนี้ แต่งตัวสวยๆ งามๆ เพื่อให้ผู้ชายเขามีกามารมณ์ในทางตา ร้องเพลงฉอเลาะอย่างโน้นอย่างนี้เพื่อให้เขา
มีกามารมณ์ทางหู ทาอบร่ำผิวรรณใส่กลิ่นน้ำหอม น้ำอบ เพื่อให้เขาหลงทางกลิ่น ทำกับข้าวเก่ง เกอิชาหรือคณิกาในสมัยก่อนนี้ต้องทำกับข้าวเป็นด้วย ทำกับข้าวกับน้ำอะไรต่ออะไรต่างๆ เพื่อให้หลงรสทางลิ้น สุดท้ายสัมผัสเสียดสีเลยไปหาทางที่เลว ที่ต่ำ ไม่ใช่ความรักหรอก ความใคร่เสียดสี

เมื่อก่อนนี้หญิงคณิกาจึงขายกามารมณ์อย่างนี้คือ ครบหมดทุกทวาร ร้อง รำ ทำเก่ง แอ๊คอาร์ตท่าทางเก่ง เดี๋ยวนี้มาเรียกกันว่า “ศิลปะ” ทางการแสดง หรือศิลปะทางดนตรี ศิลปะอะไรก็ตามแต่ แยกๆ ตามแขนงไป มันเป็นงานของ หญิงคณิกาหรือเกอิชาสมัยโบราณ เดี๋ยวนี้ผู้ชายก็แย่งมาเยอะแยะ แล้วก็หลงภาคภูมิโก้เก๋นัก ถ้าได้เป็นดาราแล้วใหญ่..เดี๋ยวนี้กำลังครองโลก ผงาดมาก มีอำนาจเหลือเกิน คนกำลังหลงใหลมัวเมา นึกว่า เด่น เก๋ เท่

โธ่เอ๋ย ! ที่จริงก็เป็นงานของหญิงคณิกา ผู้ชายก็เป็น คณิโกเสียก็แล้วกัน ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรนี่นา เพราะงานแต่เดิมผู้หญิงเขาทำกันเท่านั้นเอง เพราะคือว่าผู้หญิงเขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ค่อยเข้าใจ (อย่าบอกว่าผู้หญิงโง่กว่าผู้ชายเลย ประเดี๋ยว จะโกรธ)เขาจึงไปเลือกงานนี้ เขาไม่ค่อยเข้าใจ อย่าว่าเขาเลย
ส่วนผู้ชายเขาไม่ทำ แต่เดี๋ยวนี้ผู้ชายก็อุตส่าห์แย่งผู้หญิงทำ กิจกรรมนี้คนไทยเราเข้าใจดีและรู้ชัดว่าต่ำหรือสูงอย่างไร เรียกกันว่า เต้นกินรำกิน ชั่วรุ่นคุณ ยายคุณย่า เรานี่เอง ก็ยังเข้าใจกันดีอยู่ว่าเป็นกิจกรรมที่น่ารังเกียจเพียงไร หรือน่ายกย่องเชิดชู ! ก็มันกิจกรรมบำบัดกามแท้ๆ น่ะ !

และสำหรับการละเล่นนั่นน่ะ ก็เป็นการเปลี่ยนให้ ออกกำลังกายบ้างอย่างที่ว่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าใครฉลาด ออกกำลังกายได้แล้ว ก็ไม่จำเป็น ที่จะต้องไปหลงกับ การละเล่นต่างๆ เดี๋ยวนี้การออกกำลังกายชนิดบ้าระห่ำที่สุด เกมที่เลวที่สุดคือ “มวย” อำมหิตที่สุด พอขึ้นเวทีแล้วชกเข้าไป!! ถ้าชกไม่ดี
ไล่ลงจากเวทีนะ ทิ่มไม่แรงไม่ได้นะ ตีไม่แตกไม่เอานะ แน่ะ !

นั่นหรือคือมนุสโส คือ สัตว์เมืองที่ประเสริฐ “มนุสโส”นั้น เห็นใครเจ็บต้องช่วย ! ช่วยเหลือเกื้อกูล แม้แต่ล้มลงไปฝุ่นเปื้อนก็ยังต้องช่วยกันปัด

ไอ้นี่อะไรกัน เร่งเร้ากัน เอ้า ! ทิ่มกันเข้าไป !ให้แตกนะ ! หมัดไม่แน่ ไม่เอานะ อะไรก็ไม่รู้... ไม่ได้เรื่องเลย คนที่ไปชกกัน ก็เจ็บแสนเจ็บ ทุกข์แสนทุกข์ แต่ถูกปั่นหัวเหมือนจิ้งหรีด เขาไม่ได้เอาเส้นผมปั่นเหมือนจิ้งหรีดหรอก แต่เขาเอาลาภ เอาเงิน เอาเกียรติยศว่า แหม เป็นแชมเปี้ยนนะ โอ้โฮ...เบ้อเร่อเลย หลอกให้ขึ้นไปชกกันหัวร้างข้างแตก ตีไปเถอะ

ถ้าหากผู้ใดเห็นคนตีกันแล้วยังไปชอบแบบนี้ คือผู้นั้นกำลังย้อมใจตนเองให้อำมหิต ผู้นั้นแหละยิ่งไปดูเท่าไหร่ ยิ่งย้อมใจให้อำมหิตเท่านั้น แล้วทำให้คนเราฆ่ากันได้ง่ายที่สุด เป็นกีฬาที่ไม่ควรส่งเสริมอย่างที่สุดในโลก ต่ำที่สุด ! เป็นเกมต่ำที่สุด เดี๋ยวนี้กำลังเป็นบทบาทมากในโลก ขนาดที่โปรปะกันด้ากันถึงขนาดว่า ชกกันทีทำเงินเป็นล้านๆ ๆ ค่าตัวคนชกก็เป็นล้าน อย่างนี้เป็นต้น

ดาราหนังก็เหมือนกัน ป่าวข่าวประโคมกันเข้า จ้างแสดงราคายี่สิบล้าน เสร็จแล้วก็ไปแก้ผ้าเล่น มันดีหรือ เป็นผู้หญิงที่ดีหรือ ผู้ชายก็แก้ด้วย เดี๋ยวนี้มันบ้ากันถึงขนาดนี้ แต่ก่อนผู้ชาย ก็ไม่ค่อยแก้ แต่เดี๋ยวนี้ก็แก้แล้ว แล้วมันเรื่องอะไร คุณว่าของดีหรือของเลว คิดดูให้ดี นี่อาตมาพูดวิเคราะห์ให้ฟัง ให้เห็นแง่ดีและไม่ดี ลองเอาไปคิดดูว่าเราควรจะสนับสนุนหรือไม่

ถ้าไม่ควรสนับสนุน เลิก แล้วตั้งกลุ่มกันขึ้นช่วยกัน ล้มล้างค่านิยมเลวๆ อย่างนี้ อย่าให้มี เพราะมันผลาญโลก นี่มหรสพกับเกม หรือการละเล่นนี้เป็นอย่างนี้ และก่อให้เกิด
การพนันตัวสำคัญโดยตรง ไอ้ตัวเกมนี้ เดี๋ยวนี้ไปแข่งฟุตบอล ก็เถอะ มีกี่นัดที่แข่งแล้วไม่ตีกัน แข่งบอลน่ะ ! อ้างกันจริง-อ้างว่าเพื่อความสามัคคี ไม่คีไม่เคอหรอก มันตีกันน่ะ ขนาดไปอิหร่าน ยังไปตีกับชาวอิหร่านเลย บอลไทยไปด่ากันที่โน่น มันไม่ได้เรื่องหรอก เลิกเสียเถิด มาหาทางออกกำลังกายที่เป็นประโยชน์และ มีมนุษยสัมพันธ์ โดยเกมอะไรที่มันพออาศัย พอประมาณนิดๆ หน่อยๆ ลดลงได้ยิ่งดี ถ้าจะออกกำลังกายก็ออกให้เป็นประโยชน์ อบายมุขเหล่านี้ ผู้ใดเลิกได้ก็เป็นอริยบุคคล

อบายมุขมันมีอย่างนี้ การพนัน สิ่งเสพย์ติด มหรสพ เกมการละเล่นต่างๆ ฯลฯ อาตมายังไม่ได้พูดถึงอีกอันหนึ่งก็คือสิ่งเสพย์ติดของผู้หญิง ผู้หญิงไม่กิน สูบ ดื่ม เสพย์ แต่สิ่งที่เป็น “สิ่งเสพย์ติด” ของผู้หญิงคือการแต่งตัว เปลืองกว่าผู้ชายกินเหล้า ถ้าเลิกเสียได้ก็ดีมาก เพราะเป็นเรื่องของสิ่งเสพย์ติดเหมือนกัน ไม่มีอะไรก็ไปช็อปปิ้ง ดูแค็ตตาล็อกก็เอาเหมือนกัน ชื่นใจ๊ ชื่นใจ ...ไปเชียว นั่นแหละจะไปได้อะไร แล้วเอาไปทำไม ก็เอามาลงทุนอีกนั่นแหละ อย่างความรักในมิติที่ ๑ จะไปได้เรื่องอะไร เราดี “ใน” สิ ! ดีที่คุณงามความดี ดีที่มีความสามารถ มีความเมตตาเกื้อกูล ขยันขันแข็ง ทำงานเก่ง อย่างนั้นสิดี ไม่ใช่ดีแต่ “นอก” ดีแต่เปลือก จะไปได้เรื่องอะไร ดีแต่เครื่องแต่งตัว ไม่ค่อยเข้าท่าหรอกนะ

เอ้า...อาตมาจะขอผ่าน มีเวลาไม่พอที่จะพูดละเอียด ทั้งหมด แต่จะขอย้ำว่า ใครติดอบายมุข ที่มีการพนัน สิ่งเสพย์ติด เรื่องผู้หญิง-ผู้ชาย แล้วก็เรื่องมหรสพการละเล่น เที่ยว กลางคืน กลางคืนเป็นเวลานอนนะ ไม่ใช่เวลาไปเที่ยวหรือไป เต้นรำนะ ! เขาให้พักผ่อน เวลากลางวันทำงาน กลางคืนให้ พักผ่อน แต่ไม่ผ่อนเสียนี่ ไปเต้นโหยงเหยงๆ แล้วรุ่งเช้าก็ลืมตาไม่ขึ้น แล้วไม่ได้ไปทำงานทำการ แล้วมันได้อะไร ทรมานสุขภาพตัวเองทำไม ไอ้เต้นรำนี่น่ะ ก็หลอกกันให้ไปเต้น ลอกกันให้ไปจ่ายพลังงานอะไรก็ไม่รู้ แต่แท้จริงน่ะ แต่ก่อนนี้ก็หลอกให้มาแต๊ะอั๋งกัน ตั้งแต่สมัยบอลรูมนะ มาสมัยนี้ไม่บอลรูมแล้ว เผาผลาญพลังงานบานไปเลย แต่เสร็จแล้วก็เหมือนกันน่ะ !

กลางคืนนอนอย่าออกไปเที่ยว เลิกคบมิตรชั่ว ไม่ เกียจคร้าน ใครปิดอบายพวกนี้ได้ก็เป็นพระโสดาบัน เป็นอริยบุคคลของพระพุทธเจ้า ปิดอบายนี้ทำได้ ไม่ใช่ของทำไม่ได้ ศาสนาพระพุทธเจ้านี้พูดแล้วทำได้ ไม่ใช่ลอยลมอยู่ที่ไหน และต้องทำกัน เห็นผลกันในขณะเป็นคนเป็นๆ เสวยผล “การพ้นอบาย” กันชัดๆ จริงๆ ไม่อำไม่พราง เรื่องหยาบๆ ตื้นๆ แค่โสดาบันขั้นต้นจริงๆ นี้รู้ง่าย เห็นง่าย

คุณปิดอบายพวกนี้หมดแล้วแต่ละคนละคุณเอ๋ย คุณจะได้เวลาคืนมา จะได้แรงกายคืนมา จะได้แรงปัญญาคืนมา คุณจะได้แม้แต่วัตถุเงินทองที่จะต้องไปลงทุน ก็จะได้คืนมาหมด แล้วคุณก็ผลักดันเวลาไปทำงานอื่น เอาแรงกาย แรงปัญญา ไปทำงานอื่น คุณก็จะรวย โสดาบันบุคคลนั้นรวย เป็นเศรษฐี
ได้ง่ายๆ เพราะไม่เปลือง ไม่เผาผลาญในทางอบายมุข แล้วยังแถมได้ “เวลา” คืนมา “เงินทอง” ก็ไม่ต้องสิ้นเปลือง “กำลังกาย”- “กำลังปัญญา” ที่ได้คืนมา ก็ผลักเบนเอาไปใช้ทำงานในทางอื่น อันก่อผลผลิตแท้ๆ จึงเจริญแม้ ก้าวหน้าแท้ ด้วย

ผู้ที่ปฏิบัติตนเป็นพระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี พระอนาคามีอยู่ก็ดี ถือว่าเป็นผู้ที่มีความรักในระดับมิติที่ ๘ พระสกิทาคามี อาตมายังไม่ขอกระจายความในวันนี้ ซึ่งจะต้องมาลดเรื่อง รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส เรื่องโลกกาม แล้วก็มา ลดเรื่องลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข ต้องรู้เท่าทัน แล้วก็จ่ายออก ส่วนพระอนาคามีนั้น เป็นพระอริยะ ชั้นที่เหลือแต่นามธรรม ที่เป็นกิเลสอยู่ ซึ่งจะต้องพูดกันอีกมาก มีรายละเอียดอีกมาก ละเอียดลึกซึ้ง นี้เป็นมิติที่ ๘ ใครลดได้ก็คือ กำลังลดความรัก หรือ ความติดความรักนั้นอีกหนึ่งเรียกว่า ความติด หรืออุปาทาน ไปหลงอยากได้อย่างนั้น อยากมีอย่างนั้น อยากเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอด นั่นเรียกว่าความรักหรืออุปาทาน

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ลดความรักอย่างนี้ได้ ก็เป็นผู้ที่กำลังแตกอัตตาเป็นอนัตตาออกเรื่อย เป็นผู้เปลี่ยน “อัตนิยม”ไปสู่ “อนัตนิยม”

.. ความรัก ๑๐ มิติ
   [เลือกหนังสือ]
page: 8/16
Colse
   Asoke Network Thailand