ความรัก ๑๐ มิติ
โดย พระโพธิรักษ์
ตอบปัญหาที่นักศึกษาถาม หลังการบรรยายที่หอประชุมคณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๑๘
ถาม ถ้าคนไม่มีความรักระหว่างเพศแล้ว
ในอนาคตจะมีพลโลกมาสร้างประโยชน์ได้อย่างไร ?
ตอบ เอ้า นี่รายที่ ๓ ใส่คะแนนไว้ก่อน
๓ คะแนน แหม...พวกนี้ อาตมาเห็นใจในการที่ห่วงโลกจะสูญพันธุ์
เอ้า ๓ คะแนนแล้ว เรื่องกลัวโลกจะสูญพันธุ์นี่ เดี๋ยวดูอีก อาตมาเชื่อแน่ว่าในนี้จะมีอีกเพราะเรื่องนี้อาตมาเข้าใจ๊เข้าใจว่า
จะต้องเป็น อย่างนี้
ถาม ความรักที่พระสงฆ์ตัดออกจากจิตใจได้
รวมทั้งที่ตัดความรักบุตรภรรยาที่เคยมีอยู่ออกด้วยหรือไม่ ?
ตอบ ตัดด้วย รักเหมือนมวลชน ที่จริงไม่ได้รักหรอก
คือ เห็นว่าควรช่วยก็ช่วยตามฐานะ ถ้าเผื่อว่าควรจะบำบัดทุกข์ให้ได้
ก็สอนหรือว่าให้ปฏิบัติธรรมได้ด้วยก็ยิ่งดี แต่เป็นพระแล้วไม่มีวัตถุสมบัติไปช่วยแล้ว
เพราะฉะนั้นก็เลิกกัน มันช่วยไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่ามาบวชเป็นพระแล้ว
ก็หาเงินส่งลูกส่งเมีย มันก็ไม่ได้เรื่องละ
ถาม กระผมนั่งฟังพระคุณท่านบรรยายมาตั้งแต่ต้น
ได้ฟังว่า ความสุขที่พระคุณท่านกล่าวว่าใส่ปี๊บไปให้พระคุณท่านดูไม่ได้
กระผมอยากทราบว่า แล้วความสุขที่แท้จริงนั้นเล่า เป็นอย่างไร
ตอบ ก็บอกแล้วว่า มันไม่มี มีแต่ความสุขตอแหล
ยังไปคิดว่ามันมีจริงอยู่หรือนี่ ไม่มีความสุขที่แท้จริง ไม่มี
มีแต่ทุกข์ที่แท้จริงหรือทุกขอริยสัจ ทุกขสัจจะมี สุขสัจจะไม่มี
ถ้าไม่เชื่อก็ศึกษาธรรมะเพิ่มขึ้นแล้วปฏิบัติ อันนี้อาตมาก็ได้แต่บอกไว้
แต่อาตมาไม่มีสิทธิที่จะพูดให้ใครเชื่อ อาตมามีสิทธิแต่จะพูดสัจจะที่อาตมารู้เท่านั้น
ดังนั้น ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ อาตมาไม่มีสิทธิที่จะไปทำให้ได้
ก็ช่วยกันได้ แค่พูดสัจจะที่เรารู้เราแจ้งสู่กันฟัง
ถาม ตั้งแต่ผมเรียนมา ครูสอนว่าพระเข้าพรรษาเพราะว่ากลัวว่าพระจะไปเหยียบย่ำต้นข้าวของชาวนา
สงสัยว่าพระสมัยโบราณ ตาบอดหรือ เหตุใดจึงไม่ดูว่าทางใดชาวบ้านชาวเมืองเขาเดินกัน
ดังนั้นผมจึงอยากให้ท่านชี้แจงเหตุผลอันแท้จริงในการจำพรรษาของพระ
?
ตอบ เอ้า...ก็ขออธิบายเล็กน้อย การจำพรรษาของพระ
สมัยโบราณนั้น จะบอกว่าพระตาบอดก็ไม่ตาบอดหรอก แต่ว่าสมัยพระพุทธเจ้าชาวบ้านเขาทำไร่ทำนากันมาก
พอหน้าฝนนี้ เขาทำนากัน ทำกันดาษดื่นเลยเกลื่อนไปหมด แล้วถนนหนทางไม่มีเหมือนสมัยนี้
เวลาเดินต้องเดินบนคันนา บางทีต้องเดินย่ำไปในนาข้าวบ้าง คันนาไม่มีบ้าง
จึงจำเป็นต้องย่ำข้าว เพราะเขาทำนากันมากจริงๆ ในหน้าฝน
ทีนี้พระสาวกของพระพุทธเจ้ามีแยะเสียด้วย แล้วเป็นประเภทที่เดินจาริกอยู่เสมอ
พระสมัยพระพุทธเจ้านะ ไม่คิดสมัยนี้นะ เพราะพระสมัยนี้ ไม่ยอมไปไหน
สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีวังไม่มีเวียงยึดหรือติด และท่านก็ไม่ได้บัญญัติให้ยึดเวียงวังกันด้วย
สมัยพระพุทธเจ้าเดินจาริกเวียนไปมาอยู่เรื่อย เดินกันโปรด
เผยแพร่ศาสนา เป็นสัมพันธภาพ เป็นแรงสัมพัทธ์ที่สัมพัทธ์อยู่
จึงมีประโยชน์หรือมีผลมากๆ
สมัยนี้พระยึดวังหมดแล้ว หลับอุตุอยู่ในวังหมด
จึงไม่เหมือนกัน ส่วนพระที่ไปเหยียบข้าวเขาเป็นจริงอย่างว่านี้ก็มีแยะ
สมัยพระพุทธเจ้าเผยแพร่ศาสนา คนออกมาบวชแยะ แล้วเดิน กันมาก
เพราะฉะนั้นจึงทำลายข้าวเขาจริง ท่านไม่ได้ตาบอดหรอก แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ
พระพุทธเจ้าจึงได้อนุมัติว่า เอาละ หน้านาก็หยุดเสียบ้าง
ถาม ผมอยากทราบว่าวิธีใดที่จะปฏิบัติเพื่อให้พ้นจาก
ความรักระหว่างเพศ ?
ตอบ อาตมาให้ข้อคิดไปบ้างแล้วเมื่อกี้นี้ว่า
ให้ระวัง หู-ตา-จมูก-ลิ้น-กายของเรา โดยเฉพาะตาและหู ได้ยินเสียงหวานๆ
หน่อยก็อย่าขวับไปมองดูไวนัก พอตาประสบภาพนี้ แหม... หน้านวลจริง
ก็อย่าไปทึ่งนัก ตัดใจหลบเลี่ยงและพยายามตัดห่างจากมา ไม่เช่นนั้นจะลำบาก
นี่เป็นวิธีง่ายๆ มีวิธีอื่นอีก มีโอกาสเจอกันค่อยปรึกษาหารือ
ลดอาหารเสียบ้าง กินมากแล้วพลังงานมันแยะ
ถาม ท่านคิดไหมคะว่า การที่คนไปบวชเป็นพระเป็นการเปลืองแรงงานของชาติ
คนแทนที่จะใช้ความรู้ใช้แรงงานไปช่วยชาติให้เจริญได้กลับมาบวช
นั่งตั้งสมาธิ คิดแต่ธรรมะ คิดแต่ไม่มีตัวตนเท่านั้น ดิฉันคิดว่าทำให้ชาติขาดแรงงานไปมากเลยค่ะ
ขอให้ท่านอธิบายให้ฟังหน่อยค่ะ
ตอบ พระมาบวชนั้น ช่วย ถ้าเข้าใจคำอาตมาอธิบาย
มาแล้วแต่ต้น เพราะช่วยทำให้ชาติเจริญ เมื่อผู้นั้นลดความรัก
ลดปริมาณแห่งกิเลสตัณหาได้แล้วก็จะมาช่วยมนุษย์ ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาไปนั่งหลับตาทำสมาธิปี๋ๆ
อยู่ในถ้ำไหน เขาไหน ตะพึดตะพือท่าเดียว ไม่ใช่ เดี๋ยวนี้กำลังเข้าใจศาสนาพุทธผิด
ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นสอนสติปัฏฐานอยู่เป็น
เอกายนมัคโค ปฏิบัติได้ ยืน เดิน นั่ง นอน แกว่งแขนไกวขาอะไร
ทำงานทำการอะไร ก็ปฏิบัติธรรมได้ แม้แต่เวลาอุจจาระ ปัสสาวะ
ก็ปฏิบัติธรรมตลอด จริงๆอย่างนั้น ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสมาธิท่าเดียวจนไม่มีแรงงานให้แก่สังคม
ให้แก่โลก อย่างนั้นไม่ใช่ลัทธิพุทธ อย่าเข้าใจผิด แต่จะหลับตาสมาธิเพื่อประโยชน์อุปการะบ้าง
เมื่อผู้นั้นทำถูกทางก็ได้บ้างเหมือนกัน ไม่เป็นไร ไม่มีปัญหาอะไร
และพระนั้นปฏิบัติได้แล้ว บรรลุแล้ว
ก็มาช่วยโลก พระโสดาบันรู้ว่าอบายมุขละได้อย่างไรก็มาช่วยบอกเขา
โลกนี้ก็จะได้มีอบายมุขน้อยลง ทำงานธรรมดานี้แหละ ไม่ได้ไปนั่งหลับตา
หรือ หลีกเร้นจนไม่พบกับผู้คน ไม่ใช่จริงๆ อย่าเข้าใจผิด
แต่การบวชเดี๋ยวนี้ก็อย่างว่าแหละ เต็มไปด้วยการทำตนให้สูญเสียแรงงานของชาติมาก
อาตมาก็เห็นใจเหมือนกัน ก็ช่วยกันซิ ทำยังไงจะให้ท่านออกมาทำงาน
ถ้าท่าน ไม่ปฏิบัติธรรมจริง ไม่ละกิเลสจริง ก็ให้ท่านสึกออกมาทำงานเสีย
ถาม พระอรหันต์หมดแล้วซึ่งความรัก ย่อมไม่รับความรักจากผู้อื่นใช่หรือไม่
? เพื่อเป็นการสนับสนุนคำสอนที่ว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน เพราะฉะนั้น
เหตุใด พระอรหันต์จึงออกรับบาตร ในตอนเช้าคะ ?
ตอบ ในตอนเช้านั้น พระออกไปจ่ายธรรมะ
ฟังให้ดีนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปรับความรักนะ คุณคิดยังไงว่าพระพุทธเจ้าไปรับความรัก
พระพุทธเจ้าไปจ่ายธรรมะ ไปโปรดสัตว์เช้าๆ เรื่องบิณฑบาตนี่ อาตมาพูดแล้วตั้งแต่วันก่อนที่มาบรรยายที่คณะมนุษย์ฯว่า
บิณฑบาตนี่ อาตมาจะเขียนหนังสือเป็นเล่มเลย เพราะเดี๋ยวนี้
เขาไม่เข้าใจเรื่อง บิณฑบาต ว่า คือ การแสดงธรรมโปรดสัตว์
ไปแสดงความสงบ สำรวม สุขุม ถ้าใครมีปัญหาอะไรข้องใจก็ถามได้ทันทีและท่านจะบอกข้อแก้ไข
นั่นท่านไปโปรดสัตว์ ไปแสดงธรรม
ส่วนใครที่จะเห็นว่า โอ..นี่ตั้งแต่เช้าท่านยังไม่ได้ข้าวกิน
เอาข้าวใส่บาตรให้ท่านหน่อย เพราะพระท่านไม่มีข้าวกิน ไม่มีเงิน
ก็ให้ท่านเลี้ยงชีพไว้ เพื่อที่จะได้อาศัยเป็นที่พึ่งทางปัญญาต่อไป
นั่นก็เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทีของเราต่างหากเล่า หรือใคร แม้จะไม่มีปัญหา
แต่เห็นว่าพระนี่เป็นคนที่ควรอนุเคราะห์เขาก็จะใส่ให้เองเท่านั้น
ไม่ได้ไปรับความรัก เข้าใจยังไงว่า พระไปบิณฑบาต คือไปรับความรัก
!
ถาม พุทธศาสนาสอนไม่ให้มีลูก เป็นกิเลส
เพราะทำให้เกิดความรักที่เลวในมิติที่ ๒ ถ้าหากว่าทุกคนบรรลุหมดแล้ว
พุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็ไม่มีลูกสืบเชื้อสายอีก ศาสนาพุทธ มิหมดไปหรือ
ตอบ เอ้า...นี่รวมเป็น ๔ คะแนนแล้ว
กลัวคนหมดโลกอีก พระพุทธเจ้าเก่งกว่าอาตมา ยังทำให้คนบรรลุอรหันต์ไม่ได้เท่าไหร่เลยคุณ
เพราะฉะนั้น คุณอย่ากลัว ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหน ทำคนเป็นอรหันต์ได้หมดโลก
อย่ากลัวเลยนะ
ถาม การที่พระพุทธเจ้าเชื่อว่าตัวเองมีความคิดสูงสุดแล้ว
ไม่มีใครจะมีความคิดหรือความรู้เท่าพระองค์อีก จะถือว่าพระองค์รักตัวเอง
และหลงในความคิดของตัวเองได้หรือไม่
ตอบ พระองค์ไม่ได้รักตัวเองเลย เพราะมาทำงานให้แก่โลกตลอดเวลา
จะว่าพระพุทธเจ้าหลงตัวเอง คุณก็มาพิสูจน์ดูซิว่าท่านหลงหรือท่านมีปัญญาจริง
จะเอาแต่พูด ลอยๆ ไม่ได้ ถ้าหากว่าคุณพิสูจน์แล้วว่าพระพุทธเจ้าหลงตัวเองด้วยคำสอนประโยคใดหรือเรื่องใดก็เอามาพูดกัน
อาตมาจะอธิบายสู่ฟัง หรือจะขอร่วมอภิปรายด้วยน่ะ คุณวิเคราะห์มาแล้วเอามาอภิปรายกัน
ถาม ทำไมความรักเพื่อมวลชนจึงเป็นสิ่งที่ต้องเลิก
ทำไมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ดี ?
ตอบ อาตมาไม่ได้บอกว่าความรักเพื่อมวลชนเป็นสิ่งต้องเลิก
ให้ทำถ้าคุณจะรักอยู่ ความเห็นแก่ตัวต่างหากเล่าที่ต้องให้เลิก
ถ้าคุณเผื่อแผ่ไปสู่มวลชนได้จนถึงมิติที่ ๘-๙-๑๐ ก็จงทำสิ เพื่อมวลชนไม่ใช่ว่าไม่ให้ทำ
อันนี้ก็ตอบง่ายๆ อย่างนี้เพราะได้อธิบายมามากแล้ว
ถาม ในการที่พระคุณเจ้าชี้ให้เห็นว่ามีความรักคือมีทุกข์
ผมรู้สึกว่าผมมีความทุกข์มาก จากบ้านจากช่อง มาอะไร อะไรผมก็กลัวหลายอย่าง
ผมจึงเป็นทุกข์มาก ผมทุกข์เพราะผมมี ความรักหรือครับ
ตอบ ใช่ คุณทุกข์เพราะรักตัวเอง รักตัว
ยังไม่มีความรัก แค่เพศหรอก รักตัวกลัวมันไม่ได้อะไรมา กลัวอะไรๆ
ที่จะไม่ สมใจหลายๆ อย่าง ไปลองตรองดู
ถาม ถ้าเช่นนั้น ไม่รักก็คงเป็นสุข
?
ตอบ ใช่ ถ้าไม่รักแม้แต่ตัวเองด้วย
ยิ่งเป็นสุขใหญ่
ถาม ความไม่รักและเกลียด ถือว่าเป็นสุขเช่นกันหรือไม่
?
ตอบ ทั้งไม่รักและไม่เกลียด รักก็ไม่เอา
เกลียดก็ไม่เอา หมดเกลียด หมดรัก จึงจะเป็นความสุขที่บริบูรณ์
เรียกว่า ปรมัง สุขัง คำว่า ความสุข ในที่นี้ก็เพียงขอยืมคำยืมภาษาใช้
เท่านั้น
ถาม การที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมนุษย์โลกจะถือว่าพระองค์รักในสัตว์โลกหรือไม่
ถ้าไม่ใช่จะถือว่าอย่างไร ?
ตอบ ถ้าคุณจะตีความคำว่า รัก ก็เป็นความรักที่
คุณจะไปคำนึงคำนวณคาดคะเน เอาพุทธวิสัยไม่ได้ อาตมาอธิบายแล้วว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้รัก
เพราะแม้แต่พระอรหันต์ก็หมดรักแล้ว แต่ท่านรู้เป็นโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้าเข้ายิ่งรู้ใหญ่
แล้วก็จะช่วยโลกโดยที่ไม่ต้องรัก เพราะถ้ารักแล้วมันไม่ได้สมใจในรัก
มันทุกข์ แต่พระพุทธเจ้าทำแล้วแม้จะสมใจหรือไม่สมใจก็ตาม ท่านก็เฉยๆ
ได้มาท่านก็เฉย เกิดประโยชน์ท่านก็เฉย ถ้ามันยังไม่เกิดประโยชน์ท่านก็ไม่ว่ากระไร
ต้องหาเหตุปัจจัยให้พร้อม แล้วมันก็จะเกิดเอง ท่านก็จะทำไปเรื่อยๆ
อันนี้คุณอย่าไปเดาว่า พระพุทธเจ้ารักหรือไม่รักเลย เป็นพุทธวิสัยซึ่งยากยิ่งในการคิดคะเนคำนวณ
ความรักเป็นอุปาทาน ความรักคือโลภมูลจิต ผู้มีความรักเป็นเหตุ
จะต้องมี รสสนองใจ เป็นผล แต่พระพุทธเจ้าไม่มี แม้เพียงพระอรหันต์ท่านก็ไม่มีแล้ว
การจะเดาเอา เทียบเคียงเอาโดยคิดเห็นได้เพียงว่า ครูนั้นเขาสอนลูกศิษย์ถ้าไม่เพราะลาภ
ก็เพราะยศ ไม่เพราะยศก็เพราะสรรเสริญ ไม่เพราะสรรเสริญก็เพราะความรัก
หรือเพราะความสุขต้องเป็นนัยดังนี้ทั้งนั้นแหละ นั้นยังไม่ได้
แต่ถึงเช่นนี้ คุณเห็นได้บ้างไหมว่า ครูที่สอนลูกศิษย์โดยไม่เพราะเพื่อลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุขใดๆ
เลย เขาสอนเพียงเพราะเจตนาดีเท่านั้น และเท่านั้นจริงๆ ซึ่งเขาไม่ได้รู้สึกแม้สุข
หรือทุกข์ในการสอนนั้นด้วย พระพุทธเจ้าสอนมนุษย์โลกด้วย
ความรู้สึกดั่งว่านี้ตลอดเวลา ไม่ถือว่าพระองค์รักในสัตว์โลก
แต่ถือว่าพระองค์ทำงานที่พระองค์ทรง รู้ชัด แล้วว่าเป็นสิ่งที่ดี
ที่สมควรจะทำที่สุดในขณะยัง มีชีวิต เป็นองค์ประกอบหนึ่งอยู่ในโลกกับเขาด้วยเท่านั้น
คนที่ยังไม่ตายก็ควรจะเป็นคนที่มีงาน หรือมีคุณประโยชน์ให้แก่โลกดีที่สุดและมากที่สุดเท่าที่ผู้นั้น
สามารถทำได้ ถูกต้องไหม หรือว่าควรจะอยู่เฉยๆ รอวันตายอย่างฤๅษี
อย่างเดียรถีย์ อย่างนักบวชหรือพระบางจำพวกในถ้ำในป่า ในเขาโน่น
คนพวกนี้เขาหลงความสงบ ติดยึดความสงบ เขาสลัดคืนความสงบไม่ได้
เขาไม่อิ่มความสงบ เขาเลิกเสพย์ความสงบ ภายนอกไม่ได้ เพราะเขายังตัดสินตกลงกับความสงบภายในแท้ๆ
จริงๆ อันทำเอาได้ ด้วยอภิปัญญาไม่ได้ จนกลายเป็นผู้มีชีวิตอยู่เพื่อฆ่าเวลาผลาญเวลา
เพราะความขวนขวายน้อย รักความอยู่เฉยๆ เขามีชีวิตอยู่เพื่อรอวันตายเท่านั้นจริงๆ
เรียกว่า คน ผู้ได้ อัตวินิบาต แล้วโดยความอยู่เฉยๆ ไร้สมรรถภาพทุกอย่าง
ไร้การขวนขวาย นั่นแหละเป็น แดนวินิบาต ของเขา(ของตน) พระพุทธเจ้าไม่ใช่บุคคลประเภทนี้
และไม่สอนให้ยึดติดดั่งนี้ ซึ่งเป็นความสำคัญจุดหนึ่งที่เราจะต้องแก้ในวงการพุทธศาสนา
ถาม ถ้าปราศจากความรักระหว่างเพศแล้ว
มนุษย์จะดำรงเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่ได้อย่างไร
ตอบ เอ้า นี่เป็นรายที่ ๕ ช่างเป็นห่วงกันเสียจริงๆ
(ที่มีถามซ้ำๆอยู่ก็เพราะคำถามมีทั้งเขียนใส่กระดาษส่งเป็นปึกๆ
เรียงไว้ในมือแล้ว)
ถาม เหตุที่พระคุณเจ้าออกบวช เบื่อโลกหรือผิดหวัง
ในบางอย่าง หรือเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ?
ตอบ แหม ยังกับปิกนิกแน่ะ เห็นอาตมาเป็นนักล่าบรรยากาศขั้นคลาสสิกเชียวนะ
ไม่ใช่หรอก เหตุที่พระคุณเจ้าออกบวชเบื่อโลกหรือ? ไม่เบื่อ กำลังอยู่กับพวกคุณในโลกนี่แหละ
ไม่ได้เบื่อโลกหรือไม่ได้ผิดหวัง อาตมาไม่ได้ผิดหวังอะไรเลยในทางโลกจริงๆ
แม้จะไม่รวยเท่า ร็อคกี้ เฟลเลอร์ ก็ยังพอสมตัว มีเงินใช้พอสมควร
รายได้ก็ไม่น้อยนัก บ้านก็มีอยู่ รถเก๋งก็มีเปลี่ยน บางทีก็สองวันคัน
นี่ไม่ใช่พูดเล่น ขออภัย ถ้าจะคิดว่าอาตมา อวดตัว เพราะว่า อาตมา
ตอนนั้น มันบ้าเลือด มีรถเก๋งขี่ตั้งสามคัน คนเดียวตอนที่เป็นฆราวาส
ไม่ได้เดือดร้อน เรื่องชื่อเสียงอาจจะไม่ได้โด่งดังนัก ก็พอสมตัว
ไม่ได้ผิดหวัง แม้ที่สุด เรื่องผู้หญิง อาตมาก็ยังมีแฟนอยู่แท้ๆ
ในขณะปฏิบัติธรรมจะออกมานี่ โอ้โฮย พยายามที่จะให้เขาเลิกจะแย่
ต้องใช้กลเม็ดเด็ดพราย กว่าจะละออกมาได้ ต้องพยายามแทบแย่
เพราะฉะนั้น อาตมาไม่ได้ผิดหวังอะไรบางอย่างเลย
แล้วก็ไม่ได้มาปิกนิกด้วย ไม่ได้เปลี่ยนบรรยากาศมาจริงๆ มาทำงานให้ทางธรรมนี่แหละ
อาตมา จะทำอยู่จนกว่าจะตาย ถ้าเผื่อมีใครมาแกล้งไม่ให้ทำ เอาไปมัดมือมัดไม้เสียนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าไม่เช่นนั้นอาตมาก็จะทำตลอดกาล
ถาม การที่ท่านบอกว่าทำอะไรโดยหวังผลไม่ให้สูญเปล่า
ก็คงจะมีบางคนแย้งได้ว่า ทำไมจึงสอนให้ทำเช่นนั้น ในเมื่อ ตามหลักสุขศึกษาให้ออกกำลังกายด้วยการเล่นกีฬา
มิต้อง เปลี่ยนแปลงการสอนเด็กใหม่เป็นสอนให้ปลูกผักหรืออื่นๆ
ที่มิใช่การเล่นกีฬาหรือ
ตอบ ก็ควรนะ ควรจะให้ไม่ต้องไปเตะลูกหนัง
ให้มาออกกำลังกายด้วยการปลูกผักปลูกหญ้า ออกกำลังกายทางช่วยกัน
ขุดลอกคลอง มาทำโน่นทำนี่ให้เป็นประโยชน์ หรือแม้แต่การที่ออกกำลังกายโดยไม่ใช่การแสดงแรงกายชัดๆ
แบบนี้ หรือที่จะต้องเหงื่อออก การออกกำลังกายกล้ามเนื้อต่างๆ
แล้วมีผลพลอยได้ที่เป็นประโยชน์รู้ๆ เห็นๆ ชัดๆ มันมีอยู่เยอะแยะไปคุณ
ไม่ใช่ว่ามีแต่แค่นี้ เปลี่ยนได้ก็ยิ่งดี ถ้าไม่เปลี่ยนอาตมาก็จะไปว่ากระไร
ถ้าจะแย้งก็แย้งได้ซี อาตมามีแต่ความปรารถนาดี ก็แนะนำ ชี้ให้เห็นด้วยใจบริสุทธิ์เท่านั้น
ผู้ยังไม่เห็นด้วยก็ต้องแย้ง ใครเห็นด้วยก็ปรับปรุงเปลี่ยนตามที่เห็นก็เท่านั้นเอง
ใครทำก็ใครได้ ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ใครทำอย่างไร บ่อยๆ
มากๆ ก็ได้อย่างนั้นมากๆ จึงควรฉลาดรู้ผลที่จะตามมาจากการกระทำให้ดีให้เป็นประโยชน์สูงสุดเถิด
ถาม ความรักระหว่างเพศ ถ้าเขามารักเรา
แต่เราไม่รักตอบ จะเป็นสิ่งที่ดี ถือว่าเราทำถูกแล้วใช่หรือไม่
ในเมื่อเราเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะรักอย่างนั้น จะช่วยให้เขาเห็นอย่างเราได้อย่างไร
จะได้ไม่เกิดทุกข์ ?
ตอบ ก็ตอบเขาตรงๆ สิว่าที่คุณมารักฉันน่ะ
ฉันไม่ได้รักคุณนะ ระวังอกหักนะ ก็บอกเขาตรงๆ บอกเขาจริงๆ แล้วก็
สาธยายด้วยว่า ความรักเป็นทุกข์ อย่าเลย ตั้งหน้าตั้งตาที่จะเรียนหนังสือเพื่อเอาความรู้ที่จะไปทำงานทำประโยชน์ให้แก่โลก
อย่ามารักฉันเลย เลิกได้เป็นดี ลองเอามิติต่างๆ ที่อาตมาอธิบายมา
ไปเล่า ให้เขาฟังบ้าง หรือคุณจะเก่งกว่านี้ก็อธิบายเชียวนะ
ถาม ศีล ๑๐ ข้อนั้น เพิ่มจากศีล ๕ มีอะไรบ้าง
?
ตอบ ก็มีข้อที่ ๖ ให้ระมัดระวัง ลดการกินการใช้
ภาษาบาลีว่า วิกาลโภชนา ให้ลดเครื่องใช้ เครื่องกิน การกินก็ลดลง
วันละหลายมื้อก็ลดลงมากินน้อยมื้อ แม้กระทั่งการใช้ หมายความว่า
อุปโภค-บริโภค เครื่องใช้เครื่องกิน อย่าไปหลงวัตถุมาก หลงเครื่องใช้ก็อย่าไปมาก
ให้ประหยัดลง
ศีลข้อที่ ๗ นัจจะ คีตะ วาทิตะ วิสูกทัสสนา
ให้เลิกจากการไปหลงการละเล่น ละเม็ง ละคร เรื่องเพลงการ เรื่องหลงในภาษาหรูหราสะสวย
เป็นคีตะ เป็นกาพย์ กลอน กวีโก้ๆ เป็นเรื่องอะไรที่มันฟุ้งเฟ้อ
ประดิษฐ์ท่า ตกแต่งทีท่ามากเกินไป พูดกันโดยภาษาให้รู้เรื่อง
อย่าไปมัวแต่หวาน กลอนนี้เพราะ เพลงนี้ เพราะ ภาษานี้หรูหรา
คนนี้พูดอัครฐานเหลือเกิน ใช้ภาษาสูงส่งเหลือเกิน แล้วก็ติดอยู่ในภาษาเฉยๆ
ไม่ได้ประโยชน์อะไรนัก นี่ข้อที่ ๗
ศีลข้อ ๘ มาลา คันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ
วิภูสนัฏฐานา เป็นเรื่องของการฟุ้งเฟ้อ ตบแต่งขึ้นมา ตบแต่ง
ด้วยดอก ด้วยสี ด้วยรูป ตบแต่งด้วยกลิ่น ตบแต่ง ด้วยอะไรต่างๆ
นานา คือ ตบแต่งด้วยรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส นั่นเอง มากขึ้น
ก็ให้ลดลง ให้ระมัดระวัง
ศีลข้อที่ ๙ อุจจาสยนะ มหาสยนา อย่าหลงความใหญ่ความโต
คนเรามันชอบหลงความใหญ่ความโต ความใหญ่ความโต ชนิดตื้นๆ ก็แค่จะนั่งก็นั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ๆ
นั่งโต๊ะตัวใหญ่ๆ จะนอนก็นอนเตียงใหญ่ๆ ฟูกโตๆ ฟูกนุ่มๆ ใหญ่ๆ
สูงๆ บ้านก็จะมีบ้านใหญ่ๆ เพราะฉะนั้น ใครหลงความใหญ่อย่างนี้
เมื่อยหนัก..ยังไม่พอ ชอบเบ่งตัวใหญ่ๆ ศีลข้อนี้เขาแปลกันง่ายๆ
ตื้นๆ แต่เพียงว่า อย่าไปนั่งเตียงใหญ่ โต๊ะใหญ่เท่านั้นแหละ
แต่แท้จริงคือ อย่างนี้ อย่าหลงความใหญ่ อย่าเป็นทาสความใหญ่
ศีลข้อที่ ๑๐ ชาตะ รูปะ ระชะตะ ปฏิคัคหนา
อย่าทำตนเป็นกระโถน คืออะไรๆ ก็เอาหมด ทำตนเป็นกระโถน ยิ่งเงินยิ่งดี
โลภใหญ่เลย เพราะถือว่าเป็นแก้วสารพัดนึกใหญ่ อย่า ! ชาต รูป
สิ่งใดที่ทำให้เราหลงรูปต่างๆ เช่น เพชรนิลจินดา แก้วแหวน เงินทอง
ฯลฯ เรียกว่า ชาตรูป รชตะ หมายความว่าสิ่งที่มีค่ารองลงมา ชาตรูป
แปลว่า ค่าสูงในโลกที่เขายึดกัน อย่าไปหลงมัน ไม่ง้อเสียก็ได้
เอาเงินมาให้ล้านหนึ่งเดี๋ยวนี้ กองไว้ เอ้า...เอาไปเถอะ ไม่เอาเสียก็ได้
อย่างนี้ซิ เย้ยโลกดี ไอ้โลกมัน ไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่ล้านเลย
ห้าบาท สิบบาท ก็รีบฉวยใหญ่
ศีล ๑๐ ข้อนี้พระทุกรูปต้องปฏิบัติให้ได้ เดี๋ยวนี้พระ
ไม่ได้เรียนศีล นึกว่ามีแต่วินัย ๒๒๗ ข้อ ทั้งๆ ที่ตอนบวชก็ต้องรับศีลจากอุปัชฌาย์ก่อน
๑๐ ข้อนี้ต้องรับ แต่เดี๋ยวนี้มาถามกันว่า เอ๊ะ...พระต้องมีศีล
๑๐ ด้วยหรือ ที่จริงแล้วอย่าว่าแต่แค่ศีล ๑๐ เลย ศีลที่พระจะต้องปฏิบัตินอกจากวินัย
๒๒๗ ข้อแล้ว ก็ยังมีอีก มากมาย เช่น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
จนกระทั่งถึงโอวาท ปาฏิโมกข์ศีล อันคือคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าซึ่งเอาไว้พูดในโอกาสหน้า
สำหรับผู้ที่สนใจทางธรรมะมากๆ หน่อย
ถาม พระคุณท่านคะ ถ้าคนเราละความรักขั้นที่
๑ ใน ไม่ช้าคนเราก็คงจะสูญพันธุ์ใช่ไหมคะ
ตอบ แม้ปัญหาสุดท้ายก็ยังตามมาอีก นี่เป็นความห่วงของคนในโลก
อาตมาเห็นใจ๊...เห็นใจ ก็เป็นอันหมดปัญหากันที่ถาม เอ้า สำหรับวันนี้ก็สมควรแก่เวลา
ขอไม่สรุปละ เพราะสรุปแล้ว
ก็ขอกล่าวเป็นคำสุดท้ายว่า ในที่สุดนี้ พวกคุณฟัง
คำกล่าวต่างๆ ที่อาตมาได้พูดนี้เอาไป อย่าเชื่ออาตมาทีเดียวเลย
ท่านเรียกว่า งมงาย เพราะว่าคนไหนพูดแล้ว เราไม่ไตร่ตรอง เชื่อทันทีนั้นงมงายมาก
ศาสนาพุทธให้เกียรติแก่คนทุกคนให้วิเคราะห์ ให้ไตร่ตรอง ให้เห็นควร
ต่อเมื่อเห็นดีแล้วอย่าช้า รีบลงมือทำ
สักแต่ว่ารู้ไม่ลงมือทำนั้น ยังไม่เป็นผลในโลก ผู้ที่จะทำให้มันเป็นผลต้องมีทั้งรู้และทำให้สำเร็จตามนั้นด้วย
|