ความรัก ๑๐ มิติ
โดย พระโพธิรักษ์
มิติที่ ๙
ก็คือความรักของพระอรหันต์ หมดความรักโดยสิ้นเชิง
เอ๊ะ ! ยังไง ? หมดความรักแล้ว ไม่มีความรักเลย ไม่รักใน อบายมุข
ไม่รักในกามารมณ์หรือกามคุณทั้งหมด ไม่รักในลาภ-ยศ-สรรเสริญ
แม้แต่ความสุข เพราะเข้าใจรู้ว่ามันเป็นอลิกะ หรือความหลอกลวง
ความตอแหล เห็นในทุกข์เป็นอริยสัจที่
แท้จริง สัจจะที่แท้หรือความแท้จริงที่อริยะหรืออารยะ คนฉลาดค้น
พบแล้ว ยอดคนฉลาดค้นพบ คือพระพุทธเจ้าค้นพบก่อน ท่านค้นพบว่า
สุขมันคือความเท็จ ความหลอกลวง เรียกว่า สุขัลลิกะ ความจริงที่มันเป็นอยู่โดยโลกนั้นคือ
ทุกข์ เรียกว่า ทุกข์อริยสัจ สุขอริยสัจไม่มีนะ ! นี่อย่าไปหลงความจริงที่หลงผิดอย่างนั้น
สุขไม่ได้เป็นอริยสัจ สุขเป็นอลิกะ เป็นความหลอกลวง แต่ทุกข์เป็นอริยสัจ
เพราะฉะนั้น ใครหลบทุกข์ได้ ใครปิดทุกข์ได้โดยไม่ต้องมีความรักได้
คนนั้นก็พ้นเลยจริงๆ พระอรหันต์จึงพ้นทุกข์ได้ด้วยการที่ไม่มีความรัก
ผู้ใดมีรักผู้นั้นมีทุกข์ ความรักเป็นความทุกข์
พระอรหันต์จึงเป็นผู้ที่มีความรักชนิดประเสริฐคือไม่มีความรัก
อ้าว...ทำไมกลับกันเสียล่ะ ตีกลับแล้ว เป็นปริวัฏฏ์ หรือไตรลักษณ์
รอบที่ ๓ มันกลับกันแล้ว รอบที่ ๑ อยู่ในแวดวงของตระกูล รอบที่
๒ ขยายขอบเขตถึงมวลชน รอบที่ ๓ นี้พอ ถึงมิติที่ ๙ นี้กลับตาลปัตรเลย
ตีย้อน คือไม่มีความรักเลย จึงเป็นผู้ไม่มีทุกข์ด้วย สภาพ ตีกลับ
หรือสภาพ ทวนกระแส ดังนี้คือ วิมุตินิยม เป็นสภาพที่โลกจะเห็นด้วย
ยกย่องทำตาม ด้วย ยิ่งยากมากใหญ่ แต่ก็ควรทำอย่างยิ่ง
พระอรหันต์นี้มีประโยชน์ต่อโลกไหม มีแน่ๆ เริ่มต้น
มีประโยชน์ต่อโลกตั้งแต่ละอบายมุขแล้ว เริ่มแล้วตั้งแต่เป็น
พระโสดาบัน ก็เป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อโลกแล้ว เพราะไม่สร้าง
ค่านิยมเลวๆ ไว้ในโลก เพียงแต่เราละได้ เราเลิกขาดจาก อบายมุข
เราหยุดพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับอบายมุขลงเท่านั้นแหละ ยังไม่ต้องถึงกับเป็นผู้สอนวิธีละ
วิธีเลิก ไปช่วยอธิบายโทษของอบายมุขให้ใครฟังหรอก เท่านี้ก็เป็นประโยชน์ต่อโลกแล้วทันที
โลกต้องการ ผู้ทำได้จริง มากกว่าผู้พูดได้ แต่ปาก หรือผู้เพียงเก่งแต่แค่คิด
ผู้ใดยังไปร่วมในอบายมุขอยู่ ยังไปนั่งในวงเหล้า
ยังไปนั่งในวงการพนัน ยังหลงเพลินสิ่งยั่วยุเริงรมย์ ดูโทรทัศน์บันเทิง
ดูหนัง ดูกีฬา การละเล่นอยู่ ฯลฯ ก็ยังเป็นมวลชนิดหนึ่งที่ยังสร้างค่านิยมที่เลว
สร้างแนวโน้มที่เลวให้แก่โลก ให้แก่สังคม เพราะฉะนั้นผู้ใดไม่ไปร่วมวงในอบายมุขทั้งหลาย
ปลีกออก
มาเสีย ผู้นั้นก็เป็นตัวอย่างอันดีงามให้แก่โลก สร้างค่านิยมอันดีให้แก่โลก
อาจจะฝืนโลกหน่อย อาจจะขวางสังคมเขานิด แต่เป็นผู้ช่วยโลกจริงๆ
เพราะโลกหรือสังคมทุกวันนี้ สปอยล์ เต็มทีแล้ว
ยิ่งลดไม่มีความรักที่โลกเขามี โลกเขาหลง ลงมาได้เรื่อยๆ
เมื่อพ้นอบายมาได้แล้วก็มาลดความรักที่ยังรักยังหลง กามคุณ๕
ยังรัก ยังหลง โลกธรรม ๘ คือ ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข ก็มาลด มาเลิกให้หมดจริงๆ
แม้ยังรักยังหลงสภาพความ ยึดส่วนละเอียดในจิตที่เรียกว่า
ตัวตน (อัตตา) ก็ต้องมาเรียนรู้ความลึกซึ้ง ความละเอียดลออในสภาวะ
ตัวตน กันให้รู้ แท้รู้สัมผัสได้ แล้วก็มาลดมาละ เลิกรัก
เลิกหวงให้ได้ ถูกตัว ถูกตน มิใช่รู้แค่ภาษาว่า ละตัวตน
แล้ว แต่โลภะโทสะในตน
ก็ยังเต้นระบำ ทำละครอยู่โต้งๆ หยาบๆ
ตัวตน จริงๆนั้น มันเล็กกว่าปรมาณู มันเป็นสภาพธรรมขั้นปลายที่คนแต่ละคนเลิกได้ยากเป็นทีหลังสุด
จากหยาบๆ มาก่อน เพราะแม้แต่วัตถุหยาบๆ ในโลกขั้นอบายมุขก็ยังมีตัวตนร่วมสังเคราะห์อยู่ด้วย
จึงต้องรู้ ตัวตน ที่คือความละเอียด แม้ซ้อนสังเคราะห์อยู่ในความหยาบ
แค่องค์ประกอบที่เรียกว่า
อบายมุข นั้นๆ ให้ได้กันก่อนเถิด ต่อจากนั้น เช่น กามคุณ ๕
ลาภ-ยศ-สรรเสริญ โลกียสุขต่างๆ อีกก็เช่นกัน มันก็ยังมี จิตหลงหรือมี
ตัวตน ร่วมสังเคราะห์ซ้อนแฝงติด-เสพอยู่อีกนักกว่านัก ที่จะต้องรู้และละมัน
ล้างมันฆ่ามันให้หมด ตัวตน ที่สุด จิตเอง ก็ยังหลงจิตเสียเอง
อันละเอียด ขั้นสุดท้ายอีกนักกว่านักที่จะต้องมาเรียนรู้ ตัวตน
ของจิตโดยเฉพาะ ก็สุดแสนละเอียดสุขุม กว่าจะรู้ ตัวตน
ของ จิต ในจิต และฆ่าส่วนเลว
ส่วนที่เป็นโลกธรรม ในจิตจริงๆ ให้หมดความหวงแหน สิ้นซาก ความรัก
จนกระทั่งไม่มีความรักของโลกเหลืออยู่เลย
จึงเป็นผู้ที่ช่วยโลกโดยตรงโดยแท้ มีประโยชน์ต่อโลกอย่างเป็นสัจจะ
ช่วยโลกอย่างบริบูรณ์ และทำตัวเองเป็นตัวอย่างอันแท้จริงด้วย
จึงนับได้ว่าเป็นพระอรหันต์ มีค่าแล้วอย่างสูงเยี่ยมทีเดียว
แต่ยังมีความรักมิติที่สูงกว่านี้อีก คือ ความรักในมิติที่ ๑๐
|