ความรัก ๑๐ มิติ
โดย พระโพธิรักษ์
มิติที่ ๗
เป็นนามธรรมแล้ว เป็นรอบออกไปอีกแล้ว คือความรักอย่าง
"พระเจ้า" มิติที่ ๗ เป็นความรักอย่างพระเจ้า
รักสรรพสิ่งทุกสรรพสิ่ง รักทุกสิ่งทุกอย่างหมดเลย ไม่มีการแบ่งแยกมิตร
แบ่งแยกศัตรูกันอีกแล้ว แม้ใครจะ "ตบแก้มซ้ายก็ยังจะต้องยื่นแก้มขวาให้เขาตบซ้ำอีกด้วย"
นี้คือความรักของพระเจ้า ถ้าใคร
นับถือศาสนาทางพระเจ้าก็จะเข้าใจ พระเจ้าไม่ละเว้น พระเจ้า รักทุกสิ่งทุกอย่าง
ทั้งมวลชน ทั้งสรรพสิ่ง รักหมด เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงแบกทุกข์ไว้มากที่สุด
เพราะแน่นอนที่สุด "ผู้ใดมีรักผู้นั้นมีทุกข์" ผู้ใดมีรักก็ย่อมไม่ละเว้นที่จะต้องมี
"ทุกข์" แม้เป็นนามธรรมก็ตาม
ดังนั้น ความรักอย่างพระเจ้านี้จึงมีคุณค่ามหาศาล
ถ้าใครมีจิตเหมือนอย่างพระเจ้าได้ รักมวลชนทุกคน ใครทุกข์ ช่วยเหลือเฟือฟายทั้งหมด
พยายามที่จะช่วยปลดทุกข์ ไถ่บาป ไถ่ทุกข์แก่ทุกๆ คนให้ได้ แม้ที่สุดตัวเองตายก็ยอมอย่างเช่น
ศาสนาคริสต์ พระเยซูต้องยอมถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่บาปให้แก่ทุกๆคน
อย่างศาสนาโซโลเอสเตอร์ พระโซโลเอสเตอร์ ถูกลงประชาทัณฑ์ ถูกฆ่าตายก็ยอม
หรืออย่างศาสนาบ๊อบ พระบ๊อบ ก็ถูกฆ่าตาย พระบ๊อบนี้เกิดก่อนศาสนาบาไฮ
ศาสนาทางพระเจ้านี้ คือศาสนาที่มีนามธรรมอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า
"พระเจ้า" เป็นศาสนาที่เป็นอัตตา เป็นความรักที่จัดอยู่ในลักษณะ
"เทวนิยม" ("เทว" คือ ค่าของความดี
สภาพของความสูง ปัญญาที่รู้แจ้งความสูงนั้นๆ และทำตัวให้เป็นผู้สูงตามนั้นได้)
ถ้าผู้ใดเสียสละอย่างพระเจ้าดี ศาสนาพระเจ้าเป็น
อย่างนั้น ยึดถืออย่างนั้น มีอำนาจพิเศษอะไรก็ตามที่คิดว่าท่านช่วยโลก
ช่วยมวลชนทุกอย่าง ตั้งแต่ศาสนาคริสต์ของพระเยซู ศาสนาอิสลามของพระมะหะหมัด
ศาสนาโซโรเอสเตอร์ของ พระโซโรเอสเตอร์ ศาสนาบาไฮของพระบาฮาอุลลาห์
ศาสนายูดาย หรือแม้ศาสนาซิกส์ ซึ่งมีคุรุนานักเป็นเจ้าศาสดาก็ตาม
ผู้ที่เป็นเจ้าศาสดาเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่สร้างนามธรรมไว้ เสียสละตัวเองตายก็ยอมดังกล่าวแล้ว
อย่างพระบาฮาอุลลาห์ติดคุกแล้วติดคุกเล่า เขามาเชิญไปเป็นรัฐมนตรีก็ไม่เอา
พยายามต่อสู้ ทางด้านศาสนาเขียนคัมภีร์ เขียนอะไรต่ออะไรไว้ตลอดเวลา
อย่างนี้เป็นต้น เสียสละกันจริงๆ คือว่าตัวเองตายก็ไม่ว่า ทุกข์ร้อนเท่าไรก็ไม่ว่า
แบกทุกข์ไว้เยอะแยะ
เพราะฉะนั้นศาสนาที่ยังมีความรักก็ยังไม่พ้นทุกข์
ยิ่งมีพระเจ้ายิ่งแบกพระเจ้า มีอุดมคติที่เหมือนอย่างพระเจ้า
ก็ยิ่งต้องต่อสู้ เสียสละมากเหลือเกิน ถ้าหากว่าอย่างที่ไม่มีทางที่จะ
ต่อสู้แล้วก็จะยอมตายอย่างที่กล่าวแล้ว หรือแม้แต่ศาสนาที่ไม่มีตัวผู้ที่สร้างศาสนา
ที่หาศาสดายังไม่ได้เพราะว่าเป็นศาสนาเก่าโบราณ เช่น ศาสนาฮินดู
ซึ่งนับถือพระเจ้าเหมือนกันและเรียกว่า พระศิวะ ศาสนายิวที่มีการนับถืออับราฮัม
ต้นศาสนาเจ้าศาสนา และเรียกพระเจ้าว่า พระยะโฮวา ซึ่งมีคนนับถือ
ชื่อนี้นามนี้กันเยอะ ศาสนาคริสต์ก็เรียก ก็ถือ ศาสนาโมเสสก็เรียก
ก็ถือ ศาสนาอิสลามก็เรียกอัลเลาะห์ แต่ก็ถือพระยะโฮวาเหมือนศาสนาอื่น
แม้ที่สุด ศาสนาบาไฮ ก็ยังเรียกยะโฮวา ก็เป็นการตั้งชื่อเหมือนกัน
ศาสนาฮินดูตั้งชื่อพระศิวะ ศาสนาพราหมณ์เรียกพระพรหม ศาสนาฮินดูอีกนิกายหนึ่งก็เรียกพระนารายณ์
ตั้งพระนารายณ์ขึ้นมาเป็นพระเจ้า เป็นก๊อด เป็นพระเจ้าธรรมดานี้แหละซึ่งเป็นนามธรรม
ไม่มีตัวตนหรอก แต่แท้จริงแล้วผู้ที่เข้าใจศาสนาแห่งพระเจ้าด้วย
"อภิปัญญา" แล้ว สิ่งที่พระเจ้าจะบันดาลหรือช่วยโลกนั้นก็ไม่ใช่อะไรหรอกคือ
"แรงงาน" พระเจ้าก็คือ "แรงงาน" ที่มี "แรงแห่งปัญญา"
นั่นเองเป็นต้นเหง้า แล้วจึงก่อเกิดแรงอื่นๆ
พลังงานที่จะสร้างสรรจรรโลงโลก อันประกอบไปด้วยแรงกายและแรงปัญญานั้น
เรียกว่า "พระเจ้า" ฉะนั้น ถ้าใครไป อ้อนวอนพระเจ้าขอให้พระเจ้าช่วยนะ
แล้วไม่มีแรงงาน ไม่มี แรงกาย แรงปัญญา ก็บ่อมิไก๊ ! ไม่มีอะไร...ไม่เกิดอะไรหรอก
! ให้อ้อนวอนไปเถอะ ! ดังนั้นผู้ที่นับถือศาสนาที่มีพระเจ้าก็ตาม
ถ้าเข้าใจศาสนาของตัวเองดีแล้วก็จะเข้าใจว่า พระเจ้า นั้น
ท่านตั้งไว้เป็นนามธรรมเฉยๆ แต่แท้จริงแล้วคือแรงงานที่เกิดจาก
แรงกายและแรงปัญญา
ในศาสนาที่พระเจ้าเองก็สอนไว้ว่า "พระเจ้าจะช่วยผู้ที่ช่วยตัวเองก่อนเท่านั้น"
ฟังดูดีๆ นะ! พระเจ้าจะช่วยผู้ที่ช่วย ตัวเองก่อนเท่านั้น
พระเจ้า จะไม่ช่วย ผู้ที่ไม่ช่วยตัวเองก่อน เพราะฉะนั้นคำสอนประโยคนี้ก็บอกแล้วอยู่ในตัวว่า
จงทำ จงมี แรงงาน ถ้าไม่มีแรงงานพระเจ้าก็ไม่ช่วยอะไร เพราะว่า
ตัวของพระเจ้า ก็คือแรงงานนั่นเอง แรงงานที่ดีด้วย ทั้งแรงกายและ
แรงปัญญา ถ้าใครมีแรงกาย แรงปัญญานั้น ก็จงทำ มันก็ตรงกับศาสนาพุทธ
ตรงที่ว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนของตนเป็น ที่พึ่งของตน ไม่ต้องไปร้องขออ้อนวอนกราบไหว้ที่ไหน
มิติที่ต่อไปจากนี้ อาตมาก็ขอร้องผู้ที่นับถือศาสนาที่มีพระเจ้าว่า
อย่าเข้าใจอาตมาผิด คิดว่าอาตมายกตนข่มท่าน เพราะว่าต่อไปนี้จะเป็นศาสนาแห่ง
"อนัตตา" คือต่อจากระดับ มิติที่ ๗ ที่มีพระเจ้าเป็น
"อัตตา" เป็น "ปรมาตมัน" ถือว่าเป็น สิ่งหนึ่ง
มีค่า มีอำนาจ มีอะไรก็ตามแต่ นี่เป็นเครื่องเกาะเครื่องยึด
สิ่งนี้ยังเป็นอัตตาอยู่ในระดับมิติที่ ๗ เป็น เทวนิยม เป็นการใช้สภาพโน้มน้าวจิตให้ยึดมั่นมุ่งมั่นให้เป็นพลัง
ต่อไปนี้เป็นมิติที่ ๘ ที่ ๙ และที่ ๑๐ ก็กรุณาอย่าคิดว่า
อาตมาเอาศาสนาที่มีมิติที่ ๘-๙-๑๐ มาข่มศาสนาที่มีพระเจ้านะ
ขอให้ฟังโดยธรรมฟังดีๆ
|