ความรัก มิติที่: 1กามนิยม  2พันธุนิยม  3ญาตินิยม  4ชุมชนนิยม  5ชาตินิยม  6สากลนิยม  7เทวนิยม  8อเทวนิยม  9นิพพานนิยม  10พุทธภูมินิยม
   [เลือกหนังสือ]      ปก | คำนำ | สารบัญ | ภาคผนวก | คัชนี
page: 12/16
colse

สารบัญ
[1] รักมิติที่1
[2] รักมิติที่2
[3]
รักมิติที่3
[4]
รักมิติที่4
[5]
รักมิติที่5
[6]
รักมิติที่6
[7]
รักมิติที่7
[8]
รักมิติที่8
[9]
รักมิติที่9
[10]
รักมิติที่10
[11]
ถาม-ตอบ
[12]
ถาม-ตอบ
[13]
ถาม-ตอบ
[14]
ถาม-ตอบ
[15]
ถาม-ตอบ
[16]
ถาม-ตอบ

ความรัก ๑๐ มิติ โดย พระโพธิรักษ์

ตอบปัญหาที่นักศึกษาถาม หลังการบรรยายที่หอประชุมคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๑๘

ถาม ความทุกข์คืออะไร

ตอบ ความทุกข์ก็คือความรักนี้ละอย่างหนึ่ง ความทุกข์ ก็คือความไม่เข้าใจในสิ่งที่ปรุงสร้างกันมาในโลก พูดง่ายๆ ก็คือไม่รู้จักความแท้จริง อธิบายกันยาวความ ถ้าจะพูดกันแล้ว ต้องแจกแจงเพราะว่า สุดท้ายของผู้ที่ปฏิบัติธรรมที่จะรู้อริยสัจนั้นก็คือ จะต้อง “รู้ทุกข์” มันจึงพูดกันแต่เพียงสั้นๆ นี้ไม่ได้ เพราะขณะนี้คุณรู้ว่าความรักเป็นทุกข์ละ แล้วยังจะมีความทุกข์อื่นที่จะต้องเรียนรู้โดยสัจจะอีกเพื่อที่จะคลายทุกข์ ตอนนี้ก็รู้ประเด็นหนึ่งเสียก่อนนะ

ถาม ความรักที่เหมาะสมกับคนหนุ่มสาวสมัยนี้ อยากให้พระคุณท่านแสดงความคิดเห็นว่า ความรักที่เลวน้อยที่สุดคืออย่างไร ?

ตอบ ความรักที่เลวน้อยที่สุดก็คือ ความรักของพระเจ้า เป็นความรักที่เลวน้อยที่สุด ความรักมิติที่ ๗ ของพระเจ้า เพราะมีประโยชน์แก่ปวงชนมากที่สุด เสียสละและแบกโลกไว้หมด ทุกอย่างเลย นี่คือ ความรักที่เลวน้อยที่สุด ก็คือดีมากที่สุด นั่นเอง ส่วนผู้ที่รู้แล้วว่า ความรักคือความทุกข์ ก็เริ่มต้นตั้งแต่มิติที่ ๘-๙-๑๐ ไป ลดลงแล้วก็หมดความรักนั้น นี่ตอบแค่คร่าวๆ เวลาไม่พอแล้ว

ถาม ถ้าทุกคนหมดความรักชนิดที่ ๑ มนุษย์จะเกิดได้อย่างไร

ตอบ อย่าคิดมากเกินไปเลย เป็นไปไม่ได้ โลกที่จะไม่มีมนุษย์สืบต่อ โลกมนุษย์ยังจะถูกย้อมไว้ด้วยกิเลสอีกนักต่อนัก ก็เดี๋ยวนี้มันบังคับการเกิดกันแล้ว คุมกำเนิดกันแล้ว คุณจะไปห่วงทำไม ? มนุษย์จะล้นโลกอยู่แล้ว และแม้คนจะไม่มีความรัก คุณก็ไม่ต้องกลัวว่ามนุษย์จะไม่เกิด ตราบใดที่คุณเป็นผู้ชายยังไปหาโสเภณี นั่นไม่ได้ทำเพราะความรักเลย แต่เกิดได้จริงๆ ด้วย

อาตมาจะขอบอกให้ ปู่-ย่า-ตา-ยาย สมัยก่อน ไม่ได้แต่งงานเพราะความรักหรอก บางคนลูกเป็นโหลเลย สมัยเก่าๆ ไม่ได้ แต่งงานเพราะความรักเลย ไม่เชื่อไปถามดู ไอ้ความรักนี่มัน มาเกิดทีหลัง แหม..มาจากโลกไหนก็ไม่รู้ ส่งมาไอ้ความหลอกแบบนี้ มันเพิ่งมามีความรักกันรุ่นหลังๆ แต่ก่อนไม่มีนะ แล้วก็อยู่ กันได้ สร้างมนุษย์ก็สร้างได้โดยไม่มีความรัก คุณอย่าห่วงเลย

และเป็นไปไม่ได้ด้วย ที่โลกจะไม่มีคนต่อเผ่าพันธุ์เพราะคนที่จะไม่สมสู่นี้น่ะยากแสนยาก คุณคนที่ถามนี้ถ้ากลัวมนุษย์จะหมดโลก คุณมาเสียก่อนให้ได้คนหนึ่งสิ คือไม่ทำการสมสู่ มาเสียก่อน ถ้าคุณทำได้ คุณยังพอจะนึกว่า เออ คนอื่นก็อาจจะพอทำได้บ้าง แล้วคุณจะเห็นจริงด้วยว่า ไม่ใช่ของง่ายเลย ที่คนจะหมดความกำหนัด ไม่สืบพันธุ์ แต่ก็ทำได้ เป็นจริงด้วย

ถ้าคุณเองก็ยังทำไม่ได้ เลิกสิ่งนี้ไม่ได้ ก็อย่าหวังเลยว่า มนุษย์จะหมดโลก คนที่ทำได้เป็นคนเก่ง ถึงต้องนับถือบูชา ไม่ใช่ของง่าย การที่จะล้างอุปาทานหรือว่าสิ่งที่ไปหลงยึดว่าจะต้องเสพ หรือว่าจะต้องมีการสมสู่นี้ ไม่ใช่เรื่องเล่น เป็นเรื่องที่ติดยึดมานานแสนนานมากแล้ว

ถาม ในเมื่อสังคมปัจจุบันยังยอมรับว่าสิ่งต่างๆ ที่พระคุณ-เจ้ากล่าวมานั้นเป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ควรปฏิบัติ เพราะฉะนั้นถ้าหากมีผู้คิดต่อต้าน คิดจะล้มล้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว สังคมจะยอมรับหรือไม่ ? ขออาราธนาพระคุณเจ้าช่วยอธิบาย

ตอบ สังคมจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม อาตมาเห็นว่ามันไม่ดี อาตมาก็พยายามเผยแพร่ จะยอมรับก็คนที่เห็น ด้วยกัน ถ้าสังคมยังยอมรับว่าดีอยู่ ยังจะมีความรักแบบหนุ่มแบบสาวระหว่างเพศแบบอะไรกันอยู่ ก็เป็นกรรมของสังคมอยู่ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม มันก็ยังไม่หมดโลกง่ายๆ หรอก พระพุทธเจ้าเก่งกว่าอาตมานะ ท่านยังไม่อาจที่จะเอาชนะความรักแบบนี้ คือไม่ให้มีกันทั้งโลก ยังเอาชนะไม่ได้หมด ได้ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละ ซึ่งก็จะยังโลกไว้ให้มีประโยชน์บ้าง โดยช่วยถ่วงดุลย์โลก เพราะถ้ารักกันแบบนี้หมด โลกก็ยิ่งบรรลัยกลีร้อนยิ่งกว่านี้ เพราะฉะนั้น การถ่วงดุลย์ การสร้างประโยชน์ ให้แก่โลก จึงจำเป็นต้องทำสำหรับผู้รู้สัจธรรม

ถาม ความเกิดตามแนวสอนของพุทธศาสนา เป็นความเกิดความดับของตัณหา-อุปาทาน การเกิด-ตายอย่างชาวโลก พระพุทธองค์คงไม่สนใจจะจริงหรือไม่ ?

ตอบ การเกิด-ตายอย่างชาวโลก ที่ว่าตายแบบหมดลมหายใจ ตายเน่านี้น่ะ พระพุทธเจ้าไม่สนใจ จริงแล้ว เพราะพระ-พุทธเจ้าสนใจแต่การเกิด-ตายของตัณหา-อุปาทาน ถูกแล้ว ก็คือการแตกอณูของจิตที่มันยึด บอกแล้ว อุปาทานก็คือการ ยึดถือในอณูของจิตนั้นไว้ นี่แหละการเกิด-ดับตัวนี้ ใครทำดับ ได้จริง แตกอณูตัวนี้ได้จริง คนนั้นก็คือ การทำ “ตาย” ได้อย่าง แท้จริง ส่วนการตายเน่าเข้าโลง ตายแบบนี้น่ะ มันไม่ได้เรื่องอะไรหรอก เพราะมันไม่ได้ตายจริง ตายเก่งอะไร แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ก็ทำตายได้ การตายแบบนั้น

ถาม ถ้าให้ดับกิเลส-ตัณหา-อุปาทานต่างๆ จนหมดทุกข์แล้วนี้เป็นอรหันต์ อยากทราบว่าทุกวันนี้มีอรหันต์หรือไม่

ตอบ มี เอาไว้แค่นี้ก่อน ตอบว่ามี อรหันต์ยังมีอยู่ นี่อาตมาไม่ได้ตอบเล่น แม้คำยืนยันของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ก่อนจะ ปรินิพพาน ก็ตรัสไว้ว่า “โลกไม่ไร้ซึ่งอรหันต์ ตราบที่มีผู้ปฏิบัติดีฏิบัติชอบ” และพระส่วนใหญ่หรือฆราวาสผู้พากเพียรปฏิบัติยิ่ง ก็ยังมีอยู่จริงแม้ในทุกวันนี้ พระอรหันต์ก็ยังมีอยู่ ถ้าแม้น ผู้ใดรู้ในอรหัตตคุณ ก็จะเห็นอรหันต์ แต่ก็แสนจะรู้ได้ยากยิ่งในทุกวันนี้ เพราะเพียรกันไม่ค่อยถูกทาง แถมคุณธรรมแห่งความเป็นอรหันต์ทุกวันนี้ถูกบิดเบือนอย่างหนัก เรื่องนี้เอาไว้ก่อน แล้วค่อยพูดกัน

ถาม ทุกคนเกิดจากกาม แม้แต่พระพุทธองค์ ถ้าคน ทุกคนหมดกามแล้ว โลกนี้คงไม่เป็นโลก ท่านไม่เชื่อว่า เลิฟ เมคส์ เดอะ เวิลด์ โก ราวนด์ ท่านจงอธิบาย โลกนี้คงไม่เป็นโลกต่อไป

ตอบ ประเด็นเดียวกันกับที่กลัวโลกสูญพันธุ์ ! บอกว่า คนเกิดด้วยกามก็จริง แต่ว่าโลกนี้จะไม่หมดโลก คนจะไม่สูญพันธุ์ เพราะคนยังจะตกอยู่ภายใต้อำนาจกาม อีกนานเท่านานนัก ไม่ใช่ของง่ายๆ ที่จะเอาชนะมันได้ ฉะนั้นใครที่สามารถเอาชนะกามได้แล้ว ก็เลิกเสียซิ เลิกได้ก็เป็นดี ตนก็สบาย โลกก็ได้ประโยชน์สูงจากเรา และผู้เลิกได้นั้นๆ ก็จะต้องเคารพ เชิดชู นับถือ กราบไหว้เอาด้วย เพราะผู้ละกามนั้นมิใช่ทำได้ง่ายๆ หาได้ยากมาก จึงเป็นสิ่ง “มีค่า” อันสูงประมาณมิได้ในโลก เป็นดีมานด์อันสูงสุดและ เร่งด่วนสุดของสังคมทุกสังคมในโลก ถ้าคุณเข้าใจคำว่า “กาม” ดีพอ

ถาม อยากเรียนถามว่า อะไรเป็นสาเหตุหรือจุดแรกแห่งการตัดออกจากทางโลกของท่าน ?

ตอบ สาเหตุจุดแรกแห่งการตัดออกจากโลก จากทางโลกไม่ใช่ออกจากโลก อาตมาไม่ได้หนีโลกไปไหน ยังอยู่ด้วยกัน อย่าเข้าใจไขว้เขว การตัดออกจากทางโลกของอาตมานั้น สาเหตุจุดแรกที่สุดก็เมื่อเห็นว่า โลกมันมีแต่ความวุ่นวาย ก็เริ่มเรียนรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ก็เริ่มละกิเลสและเห็นผล เช่น อาตมา
แต่ก่อนเล่นไพ่เก่ง ไม่ใช่เก่งหรอก เล่นแล้วเสียทุกที คือ ชอบเล่นมากๆ เลิกเล่นไพ่แล้วจึงรู้ว่า ไอ้โลกอบาย ไอ้โลกเลวๆ อย่างนี้ แหม...พอเลิกได้นี่ มันดีอย่างนี้ สบาย ไม่ต้องวุ่นกับมันเลย

ตั้งแต่ยังไม่หลุดออกมาจากโลกอบายอันคือเล่นไพ่นี้ บางทีอย่างนี้ สองยามกำลังอาบน้ำเสร็จจะนอน เพื่อนมาเคาะประตูแล้ว เฮ้ย...แก้มือๆ แน่ะ ก็ต้องไป ไม่ได้นอนหรอก ตื่นเช้า ก็ไปทำงานไม่ได้ บางทีสองคืนสองวัน บ้าเลือดถึงอย่างนั้น พอเราเลิกเสียได้ แหม...สุขเกษม ไม่ต้องยุ่งเลย อย่างนี้เป็นต้น ตัวอย่างที่หนึ่ง และมีอีกหลายตัวอย่าง ที่เห็นว่าโลกนี้หลอกเรา แล้วเราก็เลิกโลกนี้ได้ จึงได้ออกมาจากโลก นี่เล่าอย่างคร่าวๆ นะ การออกจากโลก คือนัยอย่างนี้ และพ้นทุกข์จริงๆ อย่างนี้

ถาม ได้ทราบว่าท่านไม่ยึดถือในพระพุทธรูป อยากทราบว่า ท่านมีแง่คิดกับเรื่องนี้อย่างไร

ตอบ พระพุทธรูป อาตมาไม่ยึดถือ พระพุทธรูปนี้เอาตามที่หมายมานี่นะ ในที่นี้หมายเอาถึงรูปที่ปั้นขึ้นมาเป็นพระพุทธรูปและก็จะให้อาตมายึดถือว่านี่เป็นพระพุทธเจ้า อาตมาไม่ยึดละ

แต่ถ้าบอกว่านี่เป็นรูปปั้นหรือตัวแทนของพระพุทธ ถ้า จะยกมือไหว้บ้างก็ได้ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนอื่นที่ยังไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้านี่อันนี้เป็นตัวแทนนะ รูปแทนหรือรูปถ่ายอะไรก็ตามแต่ ก็พอไหว้ได้ แต่จะให้อาตมาไปเคารพกราบไหว้ บูชาไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า ใครมาขโมยไปก็ต้องร้องไห้ขี้มูกโป่ง มันแตกมันพังก็มานั่งเสียใจ วาบหวิวหรือหลงเลอะ มุ่นอยู่กับลางไม่ดี กับอาเพศนั้นหรือ แม้หากจะมีคนที่เขาไม่รับสมมุติด้วย เขาจะทำปู้ยี่ปู้ยำเป็นของเล่น เป็นตุ๊กกะตุ่นตุ๊กตาสมสภาพจริงของมันแล้ว จะให้อาตมาไปเดือดไปแค้นเจ้าคนทำปู้ยี่ปู่ยำนั้น ไม่มีวันเสียละ

แล้วอาตมาก็ไม่มีพระพุทธรูปด้วย พระพุทธรูปเดี๋ยวนี้กำลังกลายเป็นอาวุธทำลายศาสนาอย่างสำคัญ กำลังรุนแรงและรวดเร็วที่สุด ศาสนาจะเสื่อมเพราะพุทธรูป เพราะพระเครื่องฯ ฟังๆ ไว้...เดี๋ยวนี้กำลังจำลองรูปเล็กๆ ปั้นขายกัน เป็นศาสนาพาณิชย์มอมเมากันเยอะแยะมากมาย ขอให้ทุกคนเลิกเถิดปัญญาชนเอ๋ย อย่ามอมเมากันนักเลย พระพุทธเจ้าไม่เคย แพร่สิ่งเหล่านี้

ถ้าพระพุทธรูปหรือพระเครื่องจะเอาเป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์แค่ว่าเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เราจะระลึกถึงคุณธรรมของท่านเพื่อปฏิบัติตามอย่างท่าน ก็เอาซี ไม่ว่า แต่ถ้าจะเอาพระพุทธรูปหรือพระเครื่องมาใช้แบบที่ว่า เหนียว มีเมตตา มหานิยม แบบนี้ ก็คือ อนารยชน เป็นผู้ที่งมงาย นอกรีตนอกรอย พระพุทธเจ้า จะไม่สอนในสิ่งที่เป็นเครื่องยุแหย่ให้ขี้โลภ หรือขี้โกรธ ขี้ทะเลาะวิวาท ถ้ามีพระเหนียวละก็เดินไป ใครมาแฮะหน่อย ก็ไม่ได้แล้ว แบบนี้ก่อทะเลาะวิวาทเรื่อย อย่างนี้แล้วละก็ไม่ใช่เรื่องศาสนาพุทธ ถ้าพระเป็นเชื้อให้จิตห่าม ก่อการทะเลาะวิวาทอย่างนี้ละก็ พระพุทธเจ้าไม่พาทำ

หรือมีเมตตามหานิยม ก่อนออกจากประตูบ้าน สาธุ แหม...วันนี้ออกไปขอให้ได้เงินแสน เงินล้าน นี่ขี้โลภตั้งแต่ประตูบ้าน แบบนี้ พระพุทธเจ้าจะไม่พาทำเลย พระเครื่องเมตตามหานิยมช่วยลูกด้วยเน้อ แน่ะ...มันจะไปได้เรื่องอะไร ไม่ได้เรื่องหรอก “พระพุทธ” อะไรพาก่อโลภะ ก่อโทสะใส่จิตอยู่ตลอดเวลา เอาเถิด เรื่องนี้ไว้พูดอีกต่างหากเมื่อถึงคราวจะพูดถึงเรื่องศาสนา พาณิชย์

อาตมาไม่มีแม้แต่ที่ที่อาตมาพำนัก หรือว่าที่เป็นธรรมสถาน อาตมาก็ไม่ได้เอาพระพุทธรูปไปไว้ที่นั่น แต่อาตมามี พระพุทธเจ้าอยู่ในใจเป็นศรัทธินทรีย์ เป็นปัญญินทรีย์ ไม่ต้องมีพระพุทธรูป

ถาม ท่านคิดว่าถ้าคนในโลกนี้ขาดความรัก โลกนี้จะเป็นอย่างไร

ตอบ สบายมาก ถ้าคนขาดความรัก โลกนี้ขาดความรัก ก็ยอดเลยสิ ถ้าเป็นมิติที่ ๑๐ หรือตั้งแต่มิติที่ ๘ ที่ ๙ ก็ยังดี สบายมาก โลกนี้ถ้าขาดความรัก...ดี...มีแต่ความรู้ยิ่งดีใหญ่เลย

.. ความรัก ๑๐ มิติ
   [เลือกหนังสือ]
page: 12/16
   Asoke Network Thailand